1 / 41

บทที่ 2

บทที่ 2 . พันธะแรกแห่ง ชีวิต และ พัฒนาการทางจริยธรรม. ความหมายของพันธะแรกแห่งชีวิต. องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ( UNESCO) ได้กำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ของมนุษย์ เอาไว้ 4 ประการ 1.Learn to know 2.Learn to do 3.Learn to with the others 4.Learn to be.

aurora
Télécharger la présentation

บทที่ 2

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. บทที่ 2 พันธะแรกแห่งชีวิต และพัฒนาการทางจริยธรรม

  2. ความหมายของพันธะแรกแห่งชีวิตความหมายของพันธะแรกแห่งชีวิต • องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้กำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ของมนุษย์ เอาไว้ 4 ประการ 1.Learn to know 2.Learn to do 3.Learn to with the others 4.Learn to be • จะเห็นได้ว่า การเรียนรู้ข้างต้น เป็นเป้าหมายที่เชื่อมโยงการพัฒนาลักษณะนิสัยทางจริยธรรม ในการอยู่ร่วมกับคนอื่น และพัฒนาตนเองให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

  3. พันธะแรก = การที่บุคคลมีจริยธรรม • มนุษย์มีพันธะหลักๆ 2 อย่าง คือ • พันธะในการพัฒนาตนเองให้เป็นสมาชิกที่มีคุณค่าของสังคม • พันธะในการพัฒนาตนเองให้เข้าถึงสัจธรรมสูงสุดหรือความจริง ความดี ความงาม เพื่อความมีอิสรภาพ ความรัก และความสุขที่แท้จริง • พันธะแรกแห่งชีวิต คือการพัฒนาตนเองให้เป็นสมาชิกที่มีคุณค่าของสังคม....การที่บุคคลมีจริยธรรมในการดำเนินชีวิตในสังคม

  4. ความหมายของจริยธรรม • จริยธรรม ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “Ethic” • จริยธรรม เป็นคำสมาส มาจากคำว่า “จริยะ” หรือ “จริยา” กับคำว่า “ธรรม” คำว่า “จริยะ” หมายถึง ความประพฤติหรือกิริยาที่ควรประพฤติ คำว่า “ธรรม” มีความหมายหลายอย่าง เช่น คุณความดี หลักคำสอนของศาสนา หลักปฏิบัติ • เมื่อนำคำทั้งสองมารวมกันเป็น “จริยธรรม” จึงได้ความหมายตามตัวอักษรว่า “หลักแห่งความประพฤติ” หรือ “แนวทางการประพฤติ”

  5. จริยธรรม จึงเป็นพันธะหรือหน้าที่ของบุคคล อันเป็นสิ่งที่สังคมประสงค์และปลูกฝังให้คนในสังคมประพฤติ จึงเป็นหลักหรือแนวทางการปฏิบัติ เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ผู้อื่นและสังคม โดยมุ่งหวังให้สังคมสงบสุข • จริยธรรมในสังคมไทย จะเกี่ยวโดยตรงกับหลักธรรมของพุทธศาสนา เพราะ........................................................................................................................................................................................................

  6. ความสำคัญของจริยธรรม • สังคมปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยเป็นสังคมที่เคยพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน กลายเป็นสังคมที่ต่างคนต่างอยู่ แข่งขัน • ปัญหาสังคมมากมาย • สังคมจะสงบสุขได้ก็เมื่อประชากรที่อยู่ในสังคมนั้นมีจริยธรรม

  7. พัฒนาการทางจริยธรรม ผู้สร้างทฤษฎีการวัดพัฒนาการทางจริยธรรม สามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่ง • ใช้วิธีการวัดความรู้เกี่ยวกับความดีความชั่ว ความเชื่อและทัศนคติทางจริยธรรม โดยใช้กระดาษ ดินสอ • วิธีการในยุคนี้ ขาดทฤษฎีและแนวความคิดที่ชัดเจนในการกำหนดเนื้อหาของแบบวัดต่างๆ ใช้แยกเด็กปกติออกจากเด็กที่มีแนวโน้มที่จะประกอบอาชญากรรม

  8. กลุ่มที่สอง • เริ่มมีหลักและทฤษฎีประกอบการวัดจริยธรรมมากขึ้น โดยเน้นที่พัฒนาการทางการคิดและการตัดสินทางจริยธรรม • ศึกษาบุคลิกภาพต่างๆที่มีหลักมาจากทฤษฎีจิตวิเคราะห์และทฤษฎีพฤติกรรมนิยม วิธีการวัดเพื่อตรวจสอบการควบคุมตนเอง

  9. กลุ่มที่สาม • ใช้วิธีการวัดแบบสะท้อนภาพ เป็นการวัดเนื้อหาทางจริยธรรมที่มีต่อการทำงานของบุคคล โดยใช้ภาพกระตุ้นให้ผู้ตอบแสดงความคิดเห็น

  10. ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรม แนวคิดของเพียเจย์ แนวคิดของโคลเบิร์ก

  11. ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมตามแนวคิดของเพียเจย์ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมตามแนวคิดของเพียเจย์ • เพียเจย์เป็นนักจิตวิทยา ชาวสวิส เป็นผู้ริเริ่มทางความคิดว่า พัฒนาการทางจริยธรรมของมนุษย์นั้นย่อมขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคล

  12. เพียเจย์ได้แบ่งพัฒนาการทางจริยธรรมเป็น  3  ระยะคือเพียเจย์ได้แบ่งพัฒนาการทางจริยธรรมเป็น  3  ระยะคือ • ขั้นก่อนจริยธรรม เป็นระยะแรกเริ่มตั้งแต่เกิดถึงสองขวบ • ขั้นยึดคำสั่งเป็นใหญ่ เป็นระยะที่สองระดับอายุตั้งแต่ 2-8 ปี • ขั้นยึดหลักแห่งตน เป็นระยะที่สาม ระดับอายุตั้งแต่  8  ปีขึ้นไป

  13. ขั้นก่อนจริยธรรม • ระยะแรกเริ่มตั้งแต่เกิดถึงสองขวบ • จริยธรรมเกิดจากผู้ใหญ่เป็นผู้สนองความต้องการของเด็ก เด็กไม่สามารถรับรู้ต่อสภาพแวดล้อมอย่างสมบูรณ์

  14. ขั้นยึดคำสั่งเป็นใหญ่ขั้นยึดคำสั่งเป็นใหญ่ • ระยะที่สองระดับอายุตั้งแต่ 2-8 ปี • เด็กเริ่มมีการรับรู้ต่อสภาพแวดล้อมอย่างละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น เด็กต้องการกระทำหรืองดการกระทำตามที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่กำหนด ทั้งนี้เพราะเด็กต้องการความรัก ความเอาใจใส่ คำชมเชย การยอมรับจากผู้ใหญ่ จึงต้องกระทำตามคำสั่ง

  15. ขั้นยึดหลักแห่งตน • ระยะที่สาม ระดับอายุตั้งแต่  8  ปีขึ้นไป • ระดับนี้เด็กมีพัฒนาการทางสติปัญญาสูงรู้อะไรถูกอะไรควรไม่ควร จากความสามารถของตนเอง และจากการได้ปฏิสัมพันธ์ (Interaction) กับเพื่อน ๆ ทำให้เด็กยอมรับกฎเกณฑ์สากล สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่พัฒนาการทางจริยธรรมเป็นของตนเอง

  16. ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมตามแนวคิดของโคลเบิร์กทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมตามแนวคิดของโคลเบิร์ก • โคลเบิร์ก เกิดเมื่อปี 1927 เติบโตที่บรูกวิวล์ ในนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา • โคลเบิร์ก ศึกษาพัฒนาการทางจริยธรรมของมนุษย์โดยยึดฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของจอง เพียเจย์ (Jean Piaget)

  17. โคลเบิร์กเน้นพัฒนาการทางจริยธรรม ที่เกิดจากระบวนการคิดโดยให้เหตุผลในการกระทำ ซึ่ง • โคลเบอร์ก ศึกษาตามแนวทฤษฎีของเพเจย์แล้วพบว่า พัฒนาการทางจริยธรรมของมนุษย์ส่วนมากไม่ได้บรรลุถึงขั้นสูงสุดเมื่ออายุ  10  ปี แต่จะมีพัฒนาการอีกหลายขั้นตอนจากอายุ 1 ปี ถึง 25 ปี • โคลเบอร์กเชื่อว่าการบรรลุนิติภาวะเชิงจริยธรรมของบุคคลนั้นจะแสดงออกทางการใช้เหตุผลทางจริยธรรมซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับ กฎเกณฑ์ของสังคมใดสังคมหนึ่ง เป็นเหตุผลที่ลึกซึ้งบริสุทธิ์มีลักษณะเป็นสากลกว้างขวางมีหลักการไม่ขัดแย้งไม่เข้าข้างตนเองและเป็นอุดมคติ

  18. วิธีการศึกษาของโคลเบอร์ก คือ การใช้เรื่องราวที่มีเป็นปัญหาทางจริยธรรม(moral dilemmas) เป็นเรื่องเกี่ยวกับสภาพการณ์ในชีวิตประจำวันที่ตัดสินใจยาก จำนวน 10 เรื่อง คำถามจะเป็นคำถามปลายเปิดให้เด็กตอบคำถามและให้เหตุผล • โคลเบิร์กไม่ได้สนใจว่ากลุ่มตัวอย่างจะตอบ ว่าควรทำ หรือไม่ควรทำ แต่เหตุผลจากคำตอบเป็นสิ่งที่โคลเบิร์กสนใจ

  19. โคลเบิร์กใช้เวลาในการศึกษาและวิจัยเป็นเวลา 12 ปี และพบว่า พัฒนาการทางจริยธรรมขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางเชาว์ปัญญาของมนุษย์ ซึ่งผูกพันกับอายุ โดยแบ่งพัฒนาการทางจริยธรรมออก3 ระดับ (Levels) แต่ละระดับมีแบ่งการให้เหตุผลทางจริยธรรมออกเป็น 2 ขั้น (Stages) • การพัฒนาจะก้าวขึ้นไปทีละ 1 ขั้น จากขั้นต่ำไปขั้นสูง ไม่มีการข้ามขึ้นหรือย้อนกลับ โดยการขึ้นไปทีละขั้น บุคคลเกิดการพัฒนาจริยธรรมให้สูงขึ้นไปอีก 1 ขั้น จะต้องให้เด็กมีการอภิปรายร่วมกัน ทำให้ได้รับฟังความคิดเห็นของบุคคลที่มีระดับพัฒนาการทางจริยธรรมที่สูงกว่าตนเอง อย่างน้อย 1 ขั้น

  20. พัฒนาการทางจริยธรรมตามแนวคิดของโคลเบิร์กพัฒนาการทางจริยธรรมตามแนวคิดของโคลเบิร์ก

  21. ระดับที่ 1 ระดับก่อนมีจริยธรรมหรือระดับก่อนกฎเกณฑ์สังคม พบในเด็ก 2-12 ปี • ขั้นที่ 1 การถูกลงโทษและการเชื่อฟัง เด็กจะยอมทำตามคำสั่งผู้มีอำนาจเหนือตนโดยไม่มีเงื่อนไขเพื่อไม่ให้ตนถูกลงโทษ ทำ“ผิด” ถูกลงโทษจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ทำสิ่งนั้นอีก ทำ “ถูก” ได้รับรางวัลหรือคำชมจะทำซ้ำอีกเพื่อหวังรางวัล • ขั้นที่ 2 ความพอใจและการแลกเปลี่ยน “ถ้าเธอทำให้ฉันฉันจะให้.......”

  22. ระดับที่ 2 ระดับจริยธรรมตามกฎเกณฑ์สังคม พบในวัยรุ่นอายุ 12 -20 ปี • ขั้นที่ 3 ความคาดหวังและการยอมรับในสังคม พฤติกรรมที่จะทำให้ผู้อื่นชอบและยอมรับจึงใช้หลักทำตามที่ผู้อื่นเห็นชอบใช้เหตุผลเลือกทำในสิ่งที่กลุ่มยอมรับโดยเฉพาะครอบครัวและกลุ่มเพื่อน เพื่อเป็นที่ชื่นชอบและยอมรับ ไม่เป็นตัวของตัวเอง • ขั้นที่ 4 การทำตามกฎระเบียบของสังคม บุคคลเรียนรู้การเป็นหน่วยหนึ่งของสังคมปฏิบัติตามหน้าที่ของสังคมเพื่อดำรงไว้ซึ่งกฎเกณฑ์ในสังคม

  23. ระดับที่ 3 ระดับจริยธรรมตามหลักการด้วยวิจารณญาณ หรือระดับเหนือกฎเกณฑ์สังคมพบในบุคคลมีอายุ 20 ปี ขึ้นไป • ขั้นที่ 5 สัญญาสังคม บุคคลมีเหตุผลในการเลือกกระทำที่ถูกต้องตามค่านิยมของตนและมาตรฐานของสังคมพฤติกรรมที่ถูกต้องจะต้องเป็นไปตามค่านิยมส่วนตัวผสมผสานกับมาตรฐานจากสังคมที่ให้มีการแก้ไขได้โดยคำนึงถึงประโยชน์และสถานการณ์แวดล้อมในขณะนั้น • ขั้นที่ 6 หลักการจริยธรรมของสากล เป็นหลักการเพื่อมนุษยธรรมเพื่อความเสมอภาคในสิทธิมนุษยชนและเพื่อความยุติธรรมของมนุษย์ทุกคนเป็นขั้นสูงสุดพบในวัยผู้ใหญ่ที่มีความเจริญทางสติปัญญา

  24. ความรู้เพิ่มเติม ความสัมพันธ์ระหว่างจริยธรรม จริยศาสตร์ และปรัชญา • จริยศาสตร์เป็นศึกษาเรื่องที่ว่าอะไรถูกอะไรผิดอะไรควรอะไรไม่ควรอะไรดีอะไรชั่ว • จริยศาสตร์ จึงทำให้เกิดหลัก หรือแนวในการประพฤติปฏิบัติ ก็คือ จริยธรรม • จริยศาสตร์เป็นสาขาย่อยหนึ่งของปรัชญา

  25. ปรัชญา ในภาษาไทยเป็นคำที่พระวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ทรงบัญญัติขึ้นใช้แทนคำว่า Philosophy ในภาษาอังกฤษ • ปรัชญาหมายถึงความรู้อันประเสริฐ เป็นความรอบรู้ รู้กว้างขวาง • อยากรู้หรือไม่ว่า จริยศาสตร์ จึงเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา

  26. คุณวิทยา (Axiology) • แบ่ง ออกเป็น 2 ประเภท คือ • จริยศาสตร์ ได้แก่คุณค่าแห่งความประพฤติ หลักแห่งความดี ความถูกต้อง เป็นคุณค่าแห่งจริยธรรม เป็นคุณค่าภายใน • สุนทรียศาสตร์ ได้แก่คุณค่าความงามทางศิลปะ ซึ่งสัมพันธ์กับ

  27. การศึกษาจริยศาสตร์มีประโยชน์มากมาย สรุปได้ดังนี้ • ทำให้รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วอะไรถูกอะไรผิดสามารถเลือกปฏิบัติในทางที่ถูกที่ควร • ทำให้รู้ทางดำเนินชีวิตทั้งในส่วนตัวและสังคม • ทำให้เข้าใจกฏความจริงของชีวิตเป็นสิ่งที่ชีวิตต้องการทำให้ชีวิตสมบูรณ์การศึกษาจริยธรรมจึงเป็นการศึกษาถึงกฏธรรมชาติให้รู้ว่าชีวิตที่แท้จริงคืออะไรต้องการอะไร • การประพฤติหลักจริยธรรมเป็นการพัฒนาสิ่งมีชีวิตให้สูงขึ้นเรียกว่ามีวัฒนธรรมทำให้ชีวิตมนุษย์เป็นชีวิตที่ประเสริฐกว่าสัตว์ถ้าขาดด้านจริยธรรมแล้วคนไม่ต่างจากสัตว์แต่อย่างใด • ทำให้รู้จักค่าของชีวิตว่าค่าของชีวิตอยู่ที่ไหนทำอย่างไรชีวิตจะมีค่าและก็เลือกทางที่ดีมีค่าชีวิตก็มีค่าตามที่ต้องการ

  28. หลักเกณฑ์และการตัดสินคุณค่าทางจริยธรรมหลักเกณฑ์และการตัดสินคุณค่าทางจริยธรรม

  29. หลักเกณฑ์และการตัดสินคุณค่าทางจริยธรรมหลักเกณฑ์และการตัดสินคุณค่าทางจริยธรรม • เกณฑ์ตัดสินจริยธรรม คือ หลักที่ใช้ตัดสินว่าการกระทำอย่างหนึ่งดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญปัญหาหนึ่งของจริยศาสตร์ …. อยู่ในคุณวิทยา (Axiology) ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับคุณค่าหรือค่านิยม (Value) • ปัญหานี้คือ เมื่อคนคนหนึ่งกระทำการอย่างใดอย่าง หนึ่งลงไป เราจะใช้หลักเกณฑ์อะไรมาตัดสินว่าการกระทำของเขาถูกหรือผิด หรือเมื่อเราตกอยู่ใน สถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งลงไป เรามีหลักศีลธรรมใดที่จะช่วยเราบอก ว่าเราควรทำอย่างนั้น เราควรทำอย่างนี้

  30. ค่านิยม (Value) • ความเชื่อว่าอะไรดี ไม่ดี อะไรควร ไม่ควร ค่านิยม (value)จึงเป็นแนวคิดหรือเกณฑ์มาตรฐาน กติกาของสังคม • ค่านิยม แบ่งออกเป็น 3 ประเภท • ค่านิยมจริยธรรม • ค่านิยมสุนทรียภาพ • ค่านิยมสังคมและการเมือง

  31. การพิจารณาคุณค่าทางจริยะและสนุทรียะการพิจารณาคุณค่าทางจริยะและสนุทรียะ แนวคิดสัมพัทธ์นิยม (Relativism)  • การกระทำอย่างหนึ่งดีหรือเลว ถูกหรือผิด ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และปัจจัยหลายอย่าง • แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ 2 กลุ่ม คือ 1.1.พวกโซฟิสท์ (Sophist)  “คนแต่ละคนเป็นผู้ตัดสินทุกสิ่งเอง” 1.2.เกณฑ์การตัดสินจริยธรรมขึ้นอยู่กับจารีตประเพณีของแต่ละสังคม

  32. แนวคิดพวกสัมบูรณนิยม (Absolutism)  • มีทัศนะตรงข้ามกับพวกสัมพัทธนิยม • เกณฑ์ตัดสินจริยธรรมที่ถูกต้องสูงสุดนั้นมีเพียงเกณฑ์ เดียว และเป็นเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัว

  33. แนวประโยชน์นิยม (Utilitarianism)  • แนวคิดที่สอดคล้องกับพวกสัมพัทธนิยม ความดีมีลักษณะ ไม่เด็ดขาดตายตัวภายในตัวของมันเอง • แต่พวกประโยชน์นิยมจะมีทัศนะเพิ่มเติมออกไปในแง่ที่ถือว่า ดีชั่ว ขึ้นอยู่กับ ผลประโยชน์สุข • ยึดหลักหลักมหสุข (The Greatest Happiness Principle) • การกระทำดี ที่สุดคือการกระทำที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์สุขมากที่สุดแก่คนจำนวนมากที่สุด

  34. ตามทัศนะของกลุ่มประโยชน์นิยมนี้ ในการตัดสินคุณค่าทางจริยธรรม มีหลักเกณฑ์พอสรุปได้ ดังนี้ (1) จะต้องกำหนดในสิ่งที่สามารถให้ประโยชน์สุขที่สุด และยาวนานที่สุด (2) จะต้องเลือกเอาสิ่งที่เลวน้อยที่สุด ถ้าหากไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เลือก (3) จะต้องยึดเอาประโยชน์สุขจำนวนมากที่สุดของคนจำนวนมากที่สุดในสังคมนั้น (4) จะต้องไม่ลดประโยชน์สุขของตนให้น้อยลงไปกว่าประโยชน์ของผู้อื่น หรือไม่ลด ประโยชน์ของผู้อื่นให้น้อยไปกว่าประโยชน์ของตน นั่นคือจะต้องให้เกิดความสุขเสมอหน้ากัน (5) จะต้องไม่คำนึงถึงเจตนาในการกระทำเป็นสำคัญ แต่จะถือเอาประโยชน์ที่เกิดขึ้น อันเป็นผลสำคัญยิ่งกว่า (6) จะต้องคำนึงตัวผู้กระทำนั้นด้วยว่าเป็นผู้หนึ่งที่จะได้รับผลของการกระทำนั้น เหมือนกันกับผู้อื่นในสังคม

  35. แนวคิดปฏิบัตินิยม • การตัดสินคุณค่าทางจริยธรรมว่า อะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิด เป็นต้น ต้องอาศัยผลของการปฏิบัติ • ความดี ความชั่วจึงสามารถจะยืดหยุ่นได้เสมอไม่ตายตัว • สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามสังคม ตามกาลสมัยนั้น ๆ หลักการทางจริยธรรมที่จะอำนวย ประโยชน์สุขแก่สังคม หรือใช้ได้ในสังคมจะต้องยืดหยุ่นได้เสมอ • คุณค่าทางจริยธรรมก็คือ การทดสอบว่าใช้ได้จริง ใช้ประโยชน์ได้จริงตามสมมติฐานที่ได้วางไว้ และประโยชน์สุขนั้นจะต้องเป็น ประโยชน์สุขของส่วนรวม และเป็นที่ยอมรับของสังคมด้วย

  36. แนวคิดบริสุทธิ์นิยม • เจตนาดีเป็นเครื่องตัดสินการกระทำของมนุษย์ ว่าอะไรดี อะไรถูกต้อง • อิมมานูเอลค้านท์ ผู้ก่อตั้งแนวคิดนี้กล่าวว่า “การกระทำที่ดีคือการกระทำด้วยเจตนาดี และการกระทำด้วยเจตนาดีนี้เอง หมายถึง การกระทำตามหน้าที่”

  37. แนวคิดอัตถิภาวะนิยม • คุณค่าทางจริยธรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนด ขึ้นมาเอง โดยอาศัยความรับผิดชอบเป็นพื้นฐาน ไม่มีเกณฑ์ทางจริยธรรมที่แน่นอนตายตัว แต่มนุษย์ เป็นผู้สร้างเกณฑ์ขึ้นมาเองโดยอิสระ และอาศัยเสรีภาพ โดยทำแต่ในสิ่งที่ดีและมีคุณค่าแก่ตนเอง และผู้อื่นให้มากที่สุด “มนุษย์เป็นผู้กำหนดชนิด กำหนดการใช้ และกำหนดคุณค่าให้แก่ทุก ๆ สิ่ง”

  38. กิจกรรม • ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ทุกกลุ่มทำกิจกรรมต่อไปนี้ • แต่ละกลุ่มศึกษาตัวอย่างคำถามปัญหาทางจริยธรรม ของโคลเบิร์ก แล้วระดมสมองว่า ถ้าหากตนเองประสบสถานการณ์ตามตัวอย่างนี้ จะเลือกตัดสินใจปฏิบัติอย่างไรหรือแก้ไขปัญหาอย่างไร พร้อมอธิบายเหตุผลประกอบ • หลังจากนั้น ให้วิเคราะห์เพิ่มเติมว่า การตัดสินใจเลือกนั้น ใช้หลักเกณฑ์และการตัดสินคุณค่าทางจริยธรรมตามแนวใด เพราะเหตุใด • แต่กลุ่มนำคำตอบที่ได้เขียนลงในกระดาษ A4 ส่งท้ายคาบเรียน

  39. ตัวอย่างคำถามปัญหาทางจริยธรรม ของโคลเบิร์ก • เรื่อง ฮินซ์ขโมยยา ในยุโรป หญิงสาวคนหนึ่งกำลังใกล้จะเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง เนื่องจากไม่มียา หมอจึงไม่สามารถรักษาเพื่อช่วยชีวิตเธอได้ แต่ในร้านขายยาแห่งหนึ่งมีตัวยาที่สามารถจะรักษาเธอซึ่งราคาสูงมากเพราะคนขายยาเอากำไรมาก ราคาต้นทุนยาเพียง 200 ดอลลาร์ แต่ขายให้คนซื้อถึง 2,000 ดอลลาร์ ฮินซ์สามีของหญิงชาวผู้นี้ พยายามไปขอยืมเงินจากทุกคนเพื่อจะซื้อยา แต่ก็สามารถหามาได้เพียงครึ่งเดียวของราคายา คือ 1,000 ดอลลาร์ ฮินซ์บอกกับคนขายยาให้ช่วยขายยาให้เขาก่อนเพราะภรรยาของเขากำลังจะตาย แล้วเขาจะนำเงินส่วนที่เหลือมาคืนให้ในภายหลัง แต่เจ้าของร้านยาปฏิเสธที่จะขายให้เขา เขาจึงหมดหวังและได้เข้าไปขโมยยา ถามว่า “ฮินซ์เขาควรทำหรือไม่ ?”

More Related