1 / 124

คอมพิวเตอร์กราฟิกส์ใช้ OpenGL (Computer Graphics using OpenGL)

คอมพิวเตอร์กราฟิกส์ใช้ OpenGL (Computer Graphics using OpenGL). บทที่ 9 สี และโมเดลสี ( Color & Color Model ). แสงและสีมีความสัมพันธ์กันอยู่ เนื่องจากสีเกิดจากการหักเหของแสงสีขาว แหล่งสีขาวที่ใหญ่ที่สุดคือแสงจากดวงอาทิตย์

cili
Télécharger la présentation

คอมพิวเตอร์กราฟิกส์ใช้ OpenGL (Computer Graphics using OpenGL)

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. คอมพิวเตอร์กราฟิกส์ใช้ OpenGL(Computer Graphics using OpenGL)

  2. บทที่ 9สี และโมเดลสี(Color & Color Model)

  3. แสงและสีมีความสัมพันธ์กันอยู่ เนื่องจากสีเกิดจากการหักเหของแสงสีขาว แหล่งสีขาวที่ใหญ่ที่สุดคือแสงจากดวงอาทิตย์ ถ้าแสงสีขาวตกกระทบวัตถุแล้วไม่มีการดูดซับพลังงานแสงไว้เลยจะเป็นเหตุการณ์ในอุดมคติ ในธรรมชาติวัตถุจะต้องมีการดูดซับพลังงานในแต่ละช่วงความถี่ที่แตกต่างกัน ทำให้เรามองเห็นวัตุในสีที่แตกต่างกัน เมื่อนำแสงสีขาวนี้มาแยกโดยอาศัยคุณสมบัติของการหักเหของแสงที่ไม่เท่ากันเมื่อผ่านตัวกลาง เช่นการวางปริซึ่ม (prism) ลงบนฉากสีขาว (ดังรูป) จะเกิดเป็นแสงสีต่างอย่างต่อเนื่องซึ่งอาจจะแยกออกเป็นสีหยาบ ๆ ได้เป็นสีม่วง, น้ำเงิน, เขียวอมฟ้า, เขียว, เหลือง, แสด และแดง (Violet, Blue, Cyan, Green, Yellow, Orange, Red) สีคืออะไร

  4. สีคืออะไร การหักเหของแสงสีขาวผ่านปริซึ่มทำให้เกิดเป็นแสงสีต่าง ๆ

  5. โดยธรรมชาติแล้ว แสงที่มนุษย์มองเห็นเป็นเพียงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าช่วงแคบ ๆ ช่วงหนึ่งซึ่งเราสามารถมองเห็นได้ (Visible Light) มีช่วงความยาวคลื่น (Wavelength) ประมาณ 390 นาโนเมตร – 720 นาโนเมตร (1 นาโนเมตร = 10-9 เมตร) ปกติแล้วคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นชนิดหนึ่งทำให้มีความสัมพันธ์ระหว่างความเร็ว, ความยาวคลื่น และความถี่ เนื่องจากเป็คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์เป็น c = f เมื่อ c เป็นความเร็วแสง,  เป็นความยาวคลื่น และ f เป็นความถี่ สีคืออะไร

  6. การวัดความยาวคลื่นเป็นไปตามรูป สำหรับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นมากกว่าแสงที่มองเห็น ได้แก่ แสงอินฟราเรด (Infrared), คลื่นไมโครเวฟ (Microwave) และคลื่นวิทยุโทรทัศน์ (Radio) คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นน้อยกว่าแสงที่มองเห็น ได้แก่ รังสีอุลตราไวโอเล็ต (Ultraviolet), รังสืเอ็กซ์ (X-ray) และรังสีแกมม่า (Gramma-ray) เป็นต้น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงต่าง ๆ แสดงดังรูปถัดไป สีคืออะไร

  7. สีคืออะไร การวัดความยาวช่วงคลื่นของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

  8. สีคืออะไร คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงความยาวคลื่นต่าง ๆ

  9. สีคืออะไร ตาราง 9-1 คุณสมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

  10. เราสามารถมองเห็นบางสิ่งก็เพราะว่าสิ่งนั้นให้แสงออกมา เราเห็นบางสิ่งก็เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นสะท้อนแสงได้ เมื่อสิ่งที่ให้แสงให้กำเนิดแสงออกมา สิ่งเหล่านั้นจะให้สีที่เรามองเห็นเมื่อสิ่งนั้นสะท้อนแสงออกมา เช่น กระดาษ หรืออื่น ๆ สีจะถูกกำหนดโดยสีของแสงที่ชนกับวัตถุ และสีของวัตถุที่สะท้อน สำหรับกระดาษที่เห็นเป็นสีขาว เนื่องจากสีของแสงสีขาวไม่ดูดกลืนสีอะไรเลย เนื่องจากแสงสีขาวมีค่าพลังงานในแต่ละความถี่ที่มีค่าใกล้เคียงกันมาก รูปต่อไปแสดงการกระจายของแสงสีขาว การมองเห็นของมนุษย์

  11. การมองเห็นของมนุษย์ การกระจายของแสงสีขาว

  12. กราฟแสดงค่าพลังงานของแสงที่ไม่ใช่สีขาวก็แตกต่างกันออกไป รูปต่อไปเป็นช่วงที่มีการกระจายของแสงที่ใกล้กับแสงสีแดง ในช่วงที่มีค่าพลังงานมากกว่าช่วงความถี่อื่นและมีความถี่ที่มีค่าพลังงานสูงสุดนี้เรียกว่า ความถี่เด่นชัด(Dominant Frequency) หรือ ความยาวคลื่นเด่นชัด(Dominant Wavelength) เมื่อความยาวคลื่นเด่นชัดมีพลังงานมากกว่าพลังงานช่วงคลื่นอื่นแสดงว่าแสงสีนั้นมีความอิ่มตัว (purity หรือ saturation) มากตามไปด้วย อาจกล่าวได้ว่า ถ้ามีแสงสีขาวเข้ามาผสมมากขึ้นจะมีความอิ่มตัวจะน้อยลง แต่ถ้ามีแสงสีขาวเข้ามาผสมน้อยลงจะมีความอิ่มตัวมากขึ้น การมองเห็นของมนุษย์

  13. การมองเห็นของมนุษย์ การกระจายพลังงานในช่วงที่ใกล้กับแสงสีแดงทำให้เกิดความถี่เด่นชัด หรือความยาวคลื่นเด่นชัด

  14. เมื่อเราจะนำสีมาใช้งาน เราจำเป็นต้องหาตัวแทนที่จะบอกถึงความแตกต่างของแต่ละสี เพื่ออ้างอิงสีเหล่านั้นได้ สมมุติเรามีสีเหลือง เราจะใช้อะไรเป็นตัวแบ่งว่าแสงสีนี้เป็นสีเหลือง บางคนอาจจะใช้ความยาวคลื่นของสีเหลืองเป็นตัวกำหนด เช่นค่าแสงสีเหลืองจากเปลือกกล้วยจะมีความยาวคลื่น 570 นาโนเมตร การอ้างอิงในลักษณะนี้อาจจะไม่ถูกต้องเสมอไปเนื่องจากแสงสีเหลืองที่สะท้อนจากเปลือกกล้วยนั้นไม่ได้มีแสงสีเหลืองที่ความยาวคลื่น 570 นาโนเมตร แต่อยู่ในช่วงความยาวคลื่น 560 – 580 นาโนเมตรรวมอยู่ด้วย การมองเห็นของมนุษย์

  15. แต่มีค่าพลังงานที่แตกต่างกันออกไปโดยมีแสงสีเหลืองที่มีความยาว 570 นาโนเมตรเป็นความยาวคลื่นเด่นชัด ดังนั้นเราจะพบว่าสีใด ๆ ที่เรามองเห็นเป็นฟังก์ชันของความยาวคลื่นเป็นช่วง ๆ มิได้ขึ้นอยู่กับความยาวคลื่นใดความยาวคลื่นหนึ่ง แสงที่ความยาวคลื่น หรือความถี่เพียงค่าเดียวคือแสงเลเซอร์ การมองเห็นของมนุษย์

  16. การแทนค่าสีต่าง ๆ ในรูปฟังก์ชันของความยาวคลื่น เป็นเรื่องยุ่งยาก แสงที่เรามองเห็นยังสามารถแทนด้วยฟังก์ชันดังกล่าวนับไม่ถ้วน ดังนั้นถ้ากล่าวถึงแสงสีเหลืองจากเปลือกกล้วยอาจจะไม่ได้มีความยาวคลื่นของแสงในช่วงความยาวคลื่นสีเหลืองเป็นความยาวคลื่นเด่นชัด กล่าวคืออาจจะประกอบด้วยแสงสีแดง และแสงสีเขียวซึ่งไม่ได้มีแสงเหลืองเป็นความยาวคลื่นเด่นชัด ในบางครั้งอาจจะไม่มีแสงในช่วงแสงสีเหลืองเลยก็ได้ ระบบประสาททางการมองเห็นของมนุษย์นั้นจะแปลความหมายออกมาเป็นสีเหลือง ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า เมตาเมอร์ริซึ่ม (metamerism) ตัวอย่างได้ชัดเจนจากหลักการที่ใช้ในจอภาพของคอมพิวเตอร์แบบ CRT ซึ่งประกอบพิกเซลที่มีสีเพียง 3 สีคือสีแดง (R), สีเขียว (G) และสีน้ำเงิน (B) เท่านั้น การมองเห็นของมนุษย์

  17. สิ่งที่สำคัญก็คือ ตาของมนุษย์มีความไวหรือการตอบสนองต่อแสงที่มีความถี่แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น แสงสีเขียวและแสงสีน้ำเงินเมื่อวัดด้วยอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ที่เป็นการศึกษาทางด้าน physical จะมีพลังงานเท่ากัน แต่เมื่อมองด้วยดวงตามนุษย์ที่มีความไวต่อแสงสีเขียวมากกว่าแสงสีน้ำเงิน สิ้งเหล่านี้เกิดจากการที่มีระบบประสาทมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง และเป็นการศึกษาแบบ psychophysical การมองเห็นของมนุษย์

  18. สีที่เรามองเห็นสามารถจำแนกได้เป็น 3 ชนิดคือ Illuminant colorเป็นสีที่เรามองเห็นโดยการมองจ้องไปที่แหล่งกำเนิดแสงโดยตรง เช่น การมองภาพที่เกิดจากจอภาพคอมพิวเตอร์ หรือการมองหลอดนีออนป้ายโฆษณา Transmitted color (หรือ Percepted color) เป็นสีที่เรามองเห็นเมื่อวัตถุถูกให้แสงทางด้านหลัง กล่าวคือแสงจากแหลงกำเนิดได้ส่องทะลุผ่านวัตถุก่อนจะเข้าสู่สายตาเรา Reflected colorเป็นสีที่เรามองเห็นเมื่อแสงจากแหล่งกำเนิดแสงสะท้อนออกจากผิวของวัตถุโดยตรง เช่น สีของวัตถุที่ทึบแสงทั่วไป การมองเห็นของมนุษย์

  19. การมองเห็นของมนุษย์ การจำแนกสีทั้ง 3 ชนิด

  20. ความจริงแล้วสีไม่มีจริงในธรรมชาติ มีเพียงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่แตกต่างกันไป ทำให้การมองเห็นเปลี่ยนไปตามการรับรู้ของประสาทมนุษย์ที่ถูกกระตุ้นโดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถกระตุ้นระบบการรับรู้ด้านการมองเห็นของมนุษย์ก็คือแสงที่มองเห็นได้ (Visible light) ดังนั้นเราจึงไม่สามารถบอกได้ว่า รังสีเอ็กส์, รังสีอุลตราไวโอเลต หรือคลื่นวิทยุเป็นสีอะไร เนื่องจากช่วงความถี่ดังกล่าวไม่สามารถกระตุ้นระบบประสาทในการมองเห็นของมนุษย์ได้ แต่ในสัตว์บางชนิดสามารถรับรู้ได้เนื่องจากคลื่นเหล่านั้นสามารถกระตุ้นประสาทรับรู้ได้ เช่น ผึ้งสามารถมองเห็นแสงอุลตราไวโอเล็ต หรืองูสามารถมองเห็นอินฟราเรดได้ ดวงตาของมนุษย์

  21. ระบบประสาทในการมองเห็นของมนุษย์นั้น ได้แก่ ตวงตาที่เป็นตัวรับแสงและอวัยวะที่ใช้ส่งสัญญาณไปสู่สมองได้แก่ optic nerve และ optic chaism (ดังรูป) จนกระทั่งถึงสมองที่ทำหน้าที่ประมวลผลเกี่ยวกับการมองเห็นแต่จะกล่าวเพียงดวงตาเพียงอย่างเดียว ดวงตาของมนุษย์

  22. ดวงตาของมนุษย์

  23. ระบบตาของเราประกอบด้วยหลายส่วน เมื่อแสงที่ผ่านเข้ามาในตาจะต้องผ่านแก้วตา (Cornea) และเสนส์ (Lens) ส่วนม่านตา (Iris) จะทำหน้าที่ปิดเปิดเพื่อปรับความเข้มของแสงที่เข้ามายังตา การรับรู้เรื่องแสงและสีของมนุษย์จะมีเนื้อเยื่อที่บริเวณผนังรอบ ๆ ดวงตาที่มีความไวต่อแสง ซึ่งประกอบด้วยเซลล์ตัวรับ (Receptor cells) สองชนิดด้วยกันคือ เซลล์รูปกรวย (Cone cell) เซลล์รูปแท่ง (Rod cell) เซลล์ที่ตอบสนองต่อสีคือเซลล์รูปกรวย ดวงตาของมนุษย์

  24. เซลล์รูปกรวยนี้จะมีส่วนที่ตอบสนองต่อสีแดง, สีเขียว และสีน้ำเงิน ส่วนสีอื่น ๆ ที่มองเห็นเป็นผลรวมของการตอบสนองต่อสีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน ส่วนเซลล์แบบแท่งจะตอบสนองต่อความเข้มต่ำ ๆ ได้ดี ซึ่งจะช่วยให้เรามองเห็นได้ในที่มืด ส่วนเซลล์รูปกรวยจะสามารถตอบสนองต่อแสงที่มีความเข้มสูงอย่างในเวลากลางวัน ดวงตาของมนุษย์

  25. เซลล์รูปกรวยและเซลล์รูปแท่งนี้มีจำนวนรวมกันประมาณ 94,500,000 เซลล์ (เซลล์รูปกรวยประมาณ 4,500,000 เซลล์ และเซลล์รูปแท่งประมาณ 90,000,000 เซลล์) เซลล์รูปกรวยที่ตอบสนองแสงทั้ง 3 สีจะมีในปริมาณเท่า ๆ กัน โดยเซลล์ที่ตอบสนองแสงสีแดงอยู่ในช่วงความถี่ต่ำ ส่วนเซลล์ที่ตอบสนองแสงสีเขียวได้ดีจะอยู่ในช่วงความถี่ปานกลาง และเซลล์ที่ตอบสนองแสงสีน้ำเงินอยู่ในช่วงความถี่สูง ดวงตาของมนุษย์

  26. ดวงตาของมนุษย์ การตอบสนองต่อแสงที่ความถี่ต่าง ๆ ของเซลล์รูปกรวย

  27. ที่กล่าวว่าเซลล์รูปกรวยตอบสนองแสงสีแดง เขียว หรือสีน้ำเงินนั้น ไม่ได้หมายความว่าเซลล์รูปกรวยจะได้รับการกระตุ้นจากแสงสีเพียงสีเดียว เท่านั้น แต่สามารถถูกกระตุ้นได้ด้วยความถี่ที่เป็นช่วง ๆ ดังนั้นจึงถูกกระตุ้นด้วยความถี่มากมาย ซึ่งแต่ละความถี่จะมีความสามารถในการกระตุ้นเซลล์รปกรวยที่มากน้อยแตกต่างกันไป เช่นเมื่อเรามองแสงสีแดง เซลล์รูปกรวยที่มีความไวต้อแสงสีแดงจะได้รับการกระตุ้นมากที่สุด และเซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีเขียวจะได้รับการกระตุ้นรองลงมา ส่วนเซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีน้ำเงินจะได้รับการกระตุ้นน้อยที่สุด ดวงตาของมนุษย์

  28. บนพื้นที่จุดเล็ก ๆ บนเรตินาจะมีสัดส่วนของเซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีแดง สีเขียว และสีน้ำเงินเป็น 32:16:1 จะเห็นว่าเซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีน้ำเงินมีน้อยสุด ทำให้เรามีความไวต่อสีน้ำเงินต่ำกว่าสีเขียว และสีแดง นั่นเอง คุณสามารถมองเห็นวัตุเป็นสีต่าง ๆ เนื่องจากสีที่ส่งมานั้นมีองค์ประกอบของสีแดง, สีเขียว และสีน้ำเงินในสัดส่วนที่แตกต่างกัน ดวงตาของมนุษย์จะแปลความคลื่นสีเหล่านั้นออกมาเป็นสีต่าง ๆ รูปต่อไปแสดงถึงการเห็นวัตถุเป็นสีน้ำตาลซึ่งเกิดจากการประกอบของสีแดง 60 ส่วน, สีเขียว 40 ส่วน และสีน้ำเงิน 10 ส่วน ดวงตาของมนุษย์

  29. ดวงตาของมนุษย์ ตามองเห็นวัตถุเป็นสีน้ำตาลที่เกิดจากส่วนประกอบสีแดง 60 ส่วน, สีเขียว 40 ส่วน และสีน้ำเงิน 10 ส่วน

  30. ความเข้มของพลังงานแสงที่วัดออกมาทางกายภาพจะอยู่ในรูปความสว่าง (Brightness) จะสว่างมากหรือน้อยขนาดไหน เราสามารถรับรู้ได้จากแสงที่ตกกระทบกับวัตถุ ระบบการมองเห็นของมนุษย์จะมีการตอบสนองที่แตกต่างกันตามช่วงความถี่ของแสงแต่ละสี เช่น แสงที่มาจากช่วงความถี่สีเขียวกับสีแดง โดยทั้งสองจะมีความเข้มของแสงเท่ากัน แต่เราอาจจะเห็นแสงที่มีความสว่างต่างกัน เนื่องจากการตอบสนองที่ไม่เท่ากันของเซลล์รูปกรวยที่มีต่อสีแดงและสีเขียว ความสว่างที่ตอบสนองต่อช่วงความถี่ต่าง ๆ กัน แสดงดังรูป ดวงตาของมนุษย์

  31. ดวงตาของมนุษย์ เส้นโค้งมาตรฐานการมองเห็นของ CIE

  32. การแสดงสีบนจอคอมพิวเตอร์ก็ใช้หลักการเดียวกันคือการกำหนดความเข้มของแสงสีแดง, สีเขียว และสีน้ำเงินเพื่อให้เกิดเป็นสีตามต้องการ จอคอมพิวเตอร์ถูกออกแบบให้สร้างแสง 3 สี แต่ละสีตามความเข้ม ด้านหลังจอภาพเป็นปืนอิเล็กตรอน (Electron gun) ที่ทำหน้าที่ยิงอิเล็กตรอนจากด้านหลังให้มากระทบแผ่นฟอสเฟอร์ทำให้เกิดแสงสีแดง, สีเขียว และสีน้ำเงิน ความเข้มของแสงที่ปล่อยออกมาเปลี่ยนไปตามลำแสงอิเล็กตรอน สีของสารฟอสเฟอร์ทั้ง 3 สีจะอยูใกล้กันทำให้กิดเป็นจุดสีบนจอภาพ การแสดงสีบนจอคอมพิวเตอร์

  33. การแสดงสีบนจอคอมพิวเตอร์การแสดงสีบนจอคอมพิวเตอร์ การสร้างสีบนจอคอมพิวเตอร์

  34. จอคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันก็มีหลากหลายให้เลือกใช้งาน แต่สิ่งที่ทำให้กราฟิกมีความสวยงาม สีกลมกลืนหรือไม่ขึ้นอยู่กับความละเอียดของจอภาพ (resolution) แต่เดิมความละเอียดจอภาพอาจจะอยู่ที่ 640x480 แต่ในปัจจุบันอาจจะมีความละเอียดถึง 2,560x2,048 รูปต่อไปแสดงพัฒนาการของชื่อจอคอมพิวเตอร์และความละเอียดในการแสดงผลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โหมดการแสดงผลบนจอคอมพิวเตอร์

  35. โหมดการแสดงผลบนจอคอมพิวเตอร์โหมดการแสดงผลบนจอคอมพิวเตอร์

  36. โหมดการแสดงผลบนจอคอมพิวเตอร์โหมดการแสดงผลบนจอคอมพิวเตอร์ ตาราง 9-2 โหมดสีและชื่อทั่วไปในการแสดงผลกราฟิก

  37. 2 สี

  38. 16 สี

  39. 256 สี

  40. 16.7 M

  41. สิ่งที่เราใช้อ้างอิงคุณสมบัติและธรรมชาติของสีในขอบเขตเฉพาะเรียกว่า โมเดลสี (Color Model) เราไม่สามารถใช้เพียงโมเดลสีเดียวในการอธิบายคุณสมบัติและธรรมชาติของสีได้ทั้งหมด เราจำเป็นต้องใช้โมเดลสีที่หลากหลายเพื่อช่วยอธิบายความแตกต่างคุณลักษณะของสี โมเดลสี (Color Model)

  42. เมื่อเราผสมแสงจากแหล่งกำเนิด 2 แหล่งหรือมากกว่าด้วยความถี่หลักที่แตกต่างเข้าด้วยกัน เราสามารถเปลี่ยนความเข้มของแสงจากแต่ละแหล่งเพื่อสร้างช่วงสีเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่ การทำแบบนี้เป็นวิธีหนึ่งในการสร้างโมเดลสี สีสัน (hue) ที่เราเลือกจากแหล่งกำเนิดแสงเรียกว่า สีหลัก(Primary Color) และขอบเขตสี (color gamut) สำหรับโมเดลคือชุดของสีทั้งหมดที่เราสามารถสร้างจากสีหลักได้ สีหลัก 2 สีที่สร้างขึ้นมาหมายถึงสีตรงข้าม (Complementary color) ตัวอย่างของคู่สีประกอบคือ แดงกับฟ้า, เขียวกับม่วงแดง และ น้ำเงินกับเหลือง สีหลัก

  43. ไม่มีข้อจำกัดของชุดสีหลักที่นำมาผสมกันเป็นสีที่มองเห็นได้ อย่าไรก็ตามสีหลัก 3 สีก็เพียงพอแล้วสำหรับงานทั่วไป การกำหนดชุดของสีหลักทำให้เราสามารถกำหนดคุณลักษณะสีที่ 4 ด้วยกระบวนการผสมสี ดังนั้นส่วนผสมของสีหลัก 1 หรือ 2 สีทำให้ได้สีที่ต้องการได้ อาจกล่าวได้ว่าสีทุกสีเกิดจากสีหลัก 3 สีที่ผสมกันในความเข้มที่แตกต่างกัน สีหลัก

  44. รูปต่อไปแสดงถึงฟังก์ชันความเข้ากันได้ของสี (color-matching function) สำหรับสีหลัก 3 สีและเป็นความเข้มแต่ละสีที่จำเป็นต้องใช้เพื่อสร้างสีที่ต้องการ จากกราฟในรูปจะเห็นว่าสีที่มีความยาวคลื่น 500 นาโนเมตรเกิดจากความเข้มของแสงสีน้ำเงินรวมกับสีเขียวแล้วลบด้วยความเข้มของแสงสีแดง นั่นหมายความว่าสีรอบ ๆ ความยาวคลืน 500 นาโนเมตรอธิบายได้เพียงว่าเป็นการผสมของความเข้มแสงสีแดง, สีน้ำเงิน และสีเขียวตามรูป ดังนั้นจอภาพสี RGB จะไม่สามารถแสดงสีข้างเคียงของ 500 นาโนเมตรได้ สีหลัก

  45. สีหลัก ปริมาณ RGB ของความเข้ากันได้ของสี

  46. เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดชุดของแหล่งกำเนิดแสงที่มาผสมกันให้เกิดเป็นสีต่าง ๆ ได้นั้นเอง สีหลัก 3 สีจึงได้ถูกกำหนดขึ้นในปี ค.ศ.1931 โดย International Commission on Illumination ที่ชื่อ CIE สีหลัก 3 สีเป็นสีในจินตนาการซึ่งถูกกำหนดทางคณิตศาสตร์ด้วยฟังก์ชันความเข้ากันได้ของสีที่เป็นค่าบวก (รูปต่อไป) ที่กำหนดความเข้มของแต่ละสีหลักที่จำเป็นในการสร้างสีต่าง ๆ การกำหนดนี้เป็นมาตรฐานนานาชาติของสีทุกสี และสีหลักของ CIE นี้ได้กำจัดค่าความเข้ากันได้ของสีที่เป็นค่าลบออกไป รวมทั้งกำจัดปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการเลือกชุดของสีหลักจริง ๆ โมเดลสี XYZ

  47. โมเดลสี XYZ ปริมาณการเข้ากันได้ของสี 3 สี

  48. ชุดของสีหลัก CIE โดยทั่วไปอ้างอิงถึงโมเดลสี XYZ ซึ่งพารามิเตอร์ X, Y และ Z แทนความเข้มของแต่ละสีหลัก CIE ที่จำเป็นในการสร้างสีตามต้องการ ดังนั้นสีที่อธิบายได้ด้วยโมเดล XYZ จะเหมือนกับที่ได้อธิบายสีด้วยโมเดลสี RGB ในรูปแบบ 3 มิติของสี XYZ เราแสดงสี c() ด้วย โมเดลสี XYZ 9-1

  49. โดยที่ X, Y และ Z คำนวณได้จากฟังก์ชันความเข้ากันได้ของสี โมเดลสี XYZ 9-2

  50. พารามิเตอร์ k ในการคำนวณนี้มีค่า 683 lumens/watt ซึ่ง lumen เป็นหน่วยสำหรับการแพร่กระจายแสงต่อหนึ่งหน่วยมุมของแข็งจากแหล่งกำเนิดจุดมาตรฐาน (บางครั้งเรียกว่าแรงเทียน) ฟังก์ชัน I() แทนการแพร่สเปกตรัมซึ่งเลือกจากความเข้มแสงในทิศทางเฉพาะ ฟังก์ชันความเข้ากันได้ของสี fY ตามพารามิเตอร์ Y คือความส่องสว่างของสี ค่าความส่องสว่างโดยปกติจะปรับอยู่ในช่วง 0 ถึง 100.0 ซึ่ง 100.0 แทนความส่องสว่างของแสงสีขาว โมเดลสี XYZ

More Related