1 / 17

การเมืองการปกครองของไทย

การเมืองการปกครองของไทย. รายชื่อสมาชิกกลุ่ม 1. นาย ทักษ์ ทราปัญ เลขที่ 4 2. นายนครินทร์ หวายบุตร เลขที่ 5 3. นาย ณัฐ สิทธิ์ จันทร์เปล่งแสง เลขที่ 14 4. นางสาวกุลธิดา มาแสน เลขที่ 15

Télécharger la présentation

การเมืองการปกครองของไทย

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. การเมืองการปกครองของไทยการเมืองการปกครองของไทย

  2. รายชื่อสมาชิกกลุ่ม • 1. นายทักษ์ทราปัญ เลขที่ 4 • 2. นายนครินทร์ หวายบุตร เลขที่ 5 • 3. นายณัฐสิทธิ์ จันทร์เปล่งแสง เลขที่ 14 • 4. นางสาวกุลธิดา มาแสน เลขที่ 15 • 5. นางสาวเจนจิรา รุจิวรกุล เลขที่ 16 • 6.นางสาวปพิชญา งอกขึ้น เลขที่ 21 • นางสาวปาริฉัตร อินทยุง เลขที่ 23 • ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/4 • เสนอ ครูสายพินวงษารัตน์

  3. ในอดีตประเทศไทยมีการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขทรงมีพระราชอํานาจโดยสมบูรณ์แต่เพียงประองค์เดียว กล่าวได้ว่า พระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น ทรงอยู่เหนือรัฐธรรมนูญและกฎหมายใดๆ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ตรากฎหมาย ทรงตัดสินและพิจารณาอรรถคดี ทรงบริหารประเทศ ที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีรูปแบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ใน 4 สมัยดังนี้ คือ 1. สมัยอาณาจักรสุโขทัย (พ.ศ. 1800-1921) 2. สมัยอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 1893-2310) 3. สมัยอาณาจักรกรุงธนบุรีและ สมัยอาณาจักรรัตนโกสินทร์ ตอนต้น 4. สมัยการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 จนกระทั่งถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง วันที่24 มิถุนายน พ.ศ. 2475

  4. การปกครองสมัยอาณาจักรสุโขทัยการปกครองสมัยอาณาจักรสุโขทัย ในสมัยนี้มีการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือราชาธิปไตย ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ใช้อํานาจอธิปไตยอันเป็นอํานาจสูงสุดในการปกครองและทรงใช้อํานาจนี้ในการออกกฎหมายเรียกว่าอํานาจนิติบัญญัติทรงบริหารกิจการบ้านเมืองเรียกอํานาจนี้ว่า อํานาจบริหารราชการแผ่นดิน และทรงพิจารณาอรรถคดีทรงพิพากษาและตัดสินคดีความต่าง ๆ ทุกวันธรรมะสาวนะด้วยพระองค์เอง เรียกอํานาจนี้ว่าอํานาจตุลาการ จะเห็นได้ว่าพระมหากษัตริย์ทรงใช้อํานาจนี้เพียงพระองค์เดียว และทรงใช้อำนาจบนพื้นฐานของหลักธรรมประชาชนอยู่ร่มเย็นเป็นสุข

  5. ในสมัยอาณาจักรสุโขทัยมีลักษณะการปกครองโดยใช้คตินิยมในการปกครองแบบครอบครัวหรือ“พ่อปกครองลูก” มาเป็นหลักในการบริหารประเทศ โดยในสมัยนั้นพระมหากษัตริย์ใกล้ชิดกับประชาชนมาก ประชาชนต่างก็ เรียกพระมหากษัตริย์ ว่า “พ่อขุน ” ซึ่งมีลักษณะเด่นที่สำคัญ ดังต่อไปนี้ • พ่อขุนเป็นผู้ใช้อํานาจอธิปไตย โดยปกครองประชาชนบนพื้นฐานของความรัก ความเมตตาประดุจบิดาพึงมีต่อบุตร บางตําราอธิบายว่าเป็นการปกครองแบบพ่อปกครองลูกหรือแบบ “ ปิตุราชาประชาธิปไตย ” • พ่อขุนอยู่ในฐานะผู้ปกครองและประมุขของประเทศที่มี อำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้ เดียว • ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพในการดําเนินชีวิตพอสมควร

  6. นอกจากจะทรงวางรากฐานทางการปกครองแล้วในสมัยสุโขทัยยังทรงประดิษฐ์อักษรไทยเปิดโอกาสให้คนได้เรียนรู้ภาษา รู้ธรรมและกษัตริย์บางพระองค์ก็ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์แบบธรรมราชา การปกครองจึงมีรูปแบบธรรมราชาด้วย ซึ่งมีหลักการ คือ ความเชื่อที่ว่าพระราชอํานาจของกษัตริย์จะต้องถูกกำกับด้วยหลักธรรมะ ประชาชนจงจะอยู่เย็นเป็นสุข เมื่อสิ้นพระชนม ก็จะได้ไปสู่สวรรค จึงเรียกว่า สวรรคตหลักธรรมสำคัญที่กำกับพระราชจริยวัตร คือ ทศพิธราชธรรม และจักรวรรดิวัตร 12 ประการ

  7. การปกครองสมัยอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาการปกครองสมัยอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าอู่ทองทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา เป็นช่วงของการก่อร่างสร้างเมืองทําให้ต้องมีผู้นําในการปกครองเพื่อรวมรวมอาณาจักรให้แผ่ขยาย มีการติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านในเรื่องการค้าและศาสนา และในช่วงเวลานั้นมีการเผยแพร่ของลัทธิฮินดูและขอมเข้ามามีบทบาทในอาณาจักร ดังนั้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาจึงได้รับวัฒนธรรมการปกครองแบบขอมและฮินดูเข้ามาใช้เรียกการปกครองแบบนี้ว่า“การปกครองแบบเทวสิทธิ์ ” หรือ“สมมติเทพ ” โดยมีหลักการสำคัญ คือ

  8. กษัตริย์เปรียบเสมือนเทพเจ้าที่มีอํานาจสูงสุด ทรงเป็นเจ้าชีวิต คือ พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอํานาจเหนือชีวิตของบุคคลที่อยู่ในสังคมทุกคน และทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน คือ ทรงเป็นเจ้าของแผ่นดินทั่วราชอาณาจักรและพระมหากษัตริย์จะทรงพระราชทานให้ใครก็ได้ตามอัธยาศัย • การที่พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะเป็นสมมุติเทพ ตามคตินิยมของพราหมณ์จงต้องมี ระเบียบพิธีการต่าง ๆ มากมายแม้แต่ภาษาที่ใช้กับพระมหากษัตริย์ก็ได้บัญญัติขึ้นใช้เฉพาะกับพระมหากษัตริย์เท่านั้นที่เราเรียกว่า“ราชาศัพท์ ” • กษัตริย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาต้องเข้าพิธีปราบดาภิเษก ซึ่งถือว่าเป็นการขึ้นสู่ราชบัลลังก์โดยชอบธรรม • เกิดระบบทาสขึ้นหมายถึง บุคคลที่ใช้แรงงาน โดยทาสในสมัยกรุงศรีอยุธยาอนุญาตให้เสนาบดีข้าราชบริพารและประชาชนที่รํ่ารวยมีทาสได้

  9. จากการที่อาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ได้รับแนวคิดทางการเมืองการปกครองจากเขมรมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านการปกครองและในด้านสังคมไม่ว่าจะเป็น พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทวราชหรอเทวดาโดยสมมุติ , การเกิดระบบศักดินาขึ้นนครแรกในสังคมไทย , การเกิดการปกครองแบบนายกับบ่าว, มีการแบ่งชนชั้นทางสังคมชัดเจน นอกจากนี้ในสมัยอยุธยายังต้องทําศึกสงครามเกือบตลอดเวลา จึงมีความจําเป็นที่จะต้อง มีการเกณฑ์ไพร่พลเพื่อป้องกันประเทศ จึงเกิดระบบไพร่และมูลนายด้วยเช่นกัน

  10. การปกครองสมัยอาณาจักรกรุงธนบุรี การปกครองสมัยอาณาจักรกรุงธนบุรี อาณาจักรธนบุรี เป็นอาณาจักรของคนไทยในช่วงเวลาสั้น ๆ ระหว่าง พ.ศ. 2310 - 2325 มีพระมหากษัตริย์ปกครองเพียงพระองค์เดียว คือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ภายหลังจากที่อาณาจักรอยุธยาล่มสลายไปพร้อมกับการปล้นกรุงศรีอยุธยาของกองทัพพม่า ทว่า ในเวลาต่อมา สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ และทรงย้ายเมืองหลวงไปยังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา คือ กรุงเทพมหานครในปัจจุบัน

  11.  การปกครองในสมัยกรุงธนบุรียังคงมีรูปแบบเหมือนกับสมัยอยุธยาตอนปลาย พอสรุปได้ดังนี้  การปกครองส่วนกลาง หรือ การปกครองในราชธานีมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขสูงสุดเปรียบเสมือนสมมุติเทพ มีเจ้าฟ้าอินทรพิทักษ์ดำรงดำแหน่งพระมหาอุปราช มีตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหารหรือสมุหพระกลาโหม มียศเป็นเจ้าพระยามหาเสนา และอัครมหาเสนาบดีฝ่ายพลเรือนหรือสมุหนายก(มหาไทย) มียศเป็นเจ้าพระยาจักรี เป็นหัวหน้าบังคับบัญชาเสนาบดีจตุสดมภ์ 4 กรมได้แก่

  12. 1. กรมเมือง (นครบาล) มีพระยายมราชเป็นผู้บังคับบัญชา ทำหน้าที่เกี่ยวกับการปกครองภายในเขตราชธานี การบำบัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎรและการปราบโจรผู้ร้าย 2. กรมวัง (ธรรมาธิกรณ์) มีพระยาธรรมาเป็นผู้บังคับบัญชาทำหน้าที่เกี่ยวกับกิจการภายในราชสำนักและพิพากษาอรรถคดี 3. กรมพระคลัง (โกษาธิบดี)  มีพระยาโกษาธดีเป็นผู้บังคับบัญชาทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับจ่ายเงินของแผ่นดิน และติดต่อ ทำการค้ากับต่างประเทศ    4. กรมนา (เกษตราธิการ) มีพระยาพลเทพเป็นผู้บังคับบัญชาทำหน้าที่เกี่ยวกับเรือกสวนไร่นาและเสบียงอาหารตลอดจน ดูแลที่นาหลวง เก็บภาษีค่านา เก็บข้าวขึ้นฉางหลวงและพิจารณาคดีความเกี่ยวกับเรื่องโค กระบือ และที่นาการปกครองส่วนภูมิภาค หรือ การปกครองหัวเมือง

  13. การปกครองส่วนภูมิภาคแบ่งออกเป็น หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก หัวเมืองประเทศราช หัวเมืองชั้นใน จัดเป็นเมืองระดับชั้นจัตวา มีขุนนางชั้นผู้น้อยเป็นผู้ดูแลเมือง ไม่มีเจ้าเมือง ผู้ปกครองเมืองเรียกว่า ผู้รั้ง หรือ จ่าเมือง อำนาจในการปกครองขึ้นอยู่กับเสนาบดีจัตุสดมภ์ หัวเมืองชั้นในสมัยกรุงธนบุรี ได้แก่ พระประแดง นนทบุรี สามโคก(ปทุมธานี)  หัวเมืองชั้นนอก หรือเมืองพระยามหานคร เป็นเมืองที่อยู่นอกเขตราชธานีออกไป กำหนดฐานะเป็นเมืองระดับชั้น เอก โท ตรี จัตวา ตามลำดับ หัวเมืองฝ่ายเหนือขึ้นอยู่กับอัครมหาเสนาบดีฝ่ายสมุหนายก ส่วนหัวเมืองฝ่ายใต้และหัวเมืองชายทะเลภาคตะวันออก ขึ้นอยู่กับกรมท่า(กรมพระคลัง) ถ้าเป็นเมืองชั้นเอก พระมหากษัตริย์ จะส่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ออกไปเป็นเจ้าเมือง ทำหน้าที่ดูแลต่างพระเนตรพระกรรณ 

  14. หัวเมืองประเทศราชเป็นเมืองต่างชาติต่างภาษาที่อยู่ห่างไกลออกไปติดชายแดนประเทศอื่น มีกษัตริย์ปกครอง แต่ต้องได้รับการแต่งตั้งจากกรุงธนบุรี ประเทศเหล่านั้น ประมุขของแต่ละประเทศจัดการปกครองกันเอง แต่ต้องส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองและเครื่องราชบรรณาการมาให้ตามที่กำหนด 

  15. เอกสารอ้างอิง http://www.idis.ru.ac.th/report/index.php?topic=2520.0;wap2 http://www.learners.in.th/blogs/posts/414226 https://sites.google.com/site/kruranang/sm44 http://thanchanok-k.blogspot.com/2010/05/3-1.html http://joy-sasicha.blogspot.com/2010/06/blog-post.html

  16. จบการนำเสนอ

More Related