1 / 22

S.N.P. GROUP OF COMPANIES

S.N.P. NEWS. S.N.P. GROUP OF COMPANIES. ข่าวสารฉบับที่ 156. Logistics Specialist and International Freight Forwarder. S.N.P. GROUP OF COMPANIES. www.snp.co.th. CEO Articles. Global News. CEO Articles. Supply & Demand. All about Logistics. เที่ยวรอบโลกกับ Peter Chan. SNP Philosophy.

lidia
Télécharger la présentation

S.N.P. GROUP OF COMPANIES

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. S.N.P. NEWS S.N.P. GROUP OF COMPANIES ข่าวสารฉบับที่ 156 Logistics Specialist and International Freight Forwarder www.themegallery.com

  2. S.N.P. GROUP OF COMPANIES www.snp.co.th CEO Articles Global News CEO Articles Supply & Demand All about Logistics เที่ยวรอบโลกกับPeter Chan SNP Philosophy Tel. 0-2333-1199 ( 12 Line )

  3. กฎหมายกัมพูชา สวัสดีปีใหม่ 2554 ครับท่านผู้อ่าน บทความในฉบับส่งท้ายปีเก่า 2553 ผมได้กล่าวถึงกรณีของนายพรานที่ถูกจับในประเทศกัมพูชาและนำมาเปรียบเทียบกับท่านผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ไม่ต้องการทำธุรกิจให้ผิดกฎหมายใด ๆ แต่สุดท้าย ท่านผู้ประกอบการก็ยังคงพบกับความผิดที่ไม่เจตนาเพียงเพราะไม่รู้กฎหมายศุลกากร และเพราะความที่มีความบริสุทธิ์ใจเป็นที่ตั้ง ท่านผู้ประกอบการรุ่นใหม่ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ดีที่ต่างจากกรณีของนายพรานก็ย่อมต้องต่อสู้ และ CEO Articles ผมก็ได้กล่าวในตอนท้ายว่า ผมพบหลายกรณีที่มีการต่อสู้เกิดขึ้นแต่กลับทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งนี้เพราะกฎหมายศุลกากรเขียนไว้ชัดเจนว่า มิให้นำหลักเจตนาขึ้นมาอ้างอิง แต่ยังไม่ทันผ่านพ้นปี พ.ศ. 2553 ก็เกิดกรณีคนไทย 7 คน ถูกทหารกัมพูชาจับกุมที่ชายแดนไปอีกเป็นการจับกุมขณะไปสำรวจพื้นที่เพราะมีชาวบ้านร้องเรียนมาให้ช่วยเหลือ และผู้ถูกจับกุมจำนวนหนึ่งก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง มีตำแหน่งทางการเมือง ข่าวในตอนช่วงปลายปีกล่าวว่า ทางการกัมพูชาจับเข้าห้องขังทันทีและต้องการให้นำเรื่องขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรมในช่างต้นปี พ.ศ. 2554 ผมจำเป็นต้องนำเรื่องลักษณะนี้มากล่าวในข่าวสารฉบับต้นปีนี้อีกครั้งก็ด้วยเหตุผลที่ว่า คนไทยไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดาหรือเป็นผู้มีตำแหน่งทางการเมืองสูงส่งเพียงใด หากอ้างว่าไม่รู้กฎหมายของประเทศกัมพูชา ผมว่าก็พอจะรับฟังได้ครับแม้จะไม่เต็มร้อย เพราะไม่ได้อยู่ในประเทศไทยด้วยกัน และเมื่อบังเอิญไปทำผิดกฎหมายของกัมพูชาเข้าแม้จะโดยไม่ตั้งใจก็ตาม สุดท้ายก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของเขา ผู้ใดจะมาอ้างว่าไม่รู้หลักเขตแดนหรือจะต่อสู้แบบไม่รู้กฎหมาย รัฐบาลกัมพูชาก็มีสิทธิ์ไม่รับฟังเช่นกัน อ่านต่อหน้า 2

  4. ในทำนองเดียวกัน หากท่านผู้ประกอบการใดอ้างว่า ไม่มีรู้กฎหมายศุลกากร ไม่รู้กฎหมายลิขสิทธิ์ ไม่รู้ข้อตกลงทางการค้าและการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ และไม่รู้กฎระเบียบอื่น ๆ อีกมากมายที่ควรจะต้องรู้ในฐานะผู้ประกอบการ แต่บังเอิญไปทำผิดโดยไม่เจตนาเข้า ผมว่าหลายกรณีก็อ้างไม่ขึ้น และก็หลายกรณีที่ผมก็ยังเห็นว่า ท่านผู้ประกอบการที่มีความบริสุทธิ์ใจเป็นที่ตั้งก็พยายามต่อสู้จนทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างที่ผมกล่าวไว้ในตอนต้น แต่ปัญหาคือ ผู้ประกอบการมีหน้าที่ทำธุรกิจการค้าตามที่ตนเองถนัด จะมีเวลา จะมีปัญญาที่ไหนไปเรียนรู้เรื่องราวมากมายขนาดนี้ หลายองค์กรจึงต้องจ้างนักกฎหมายหรือผู้ทรงคุณวุฒิมาประจำสำนักงาน แต่นักกฎหมายหรือผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละท่านก็มักมีความรู้เฉพาะด้านที่ตนเองถนัดเท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมธุรกิจการค้าทุกด้าน ครั้นจะจ้างผู้เชี่ยวชาญในครบทุกด้าน ก็คงต้องจ้างอย่างมากมายพร้อมการประเมินจุดคุ้มทุนไปในตัว มีบางรายใช้วิธีว่าจ้างผู้ชำนาญการโลจิสติกส์จากภายนอก (Out Source) แต่ก็น่าเสียดายที่ประเทศไทยมีผู้ชำนาญการโลจิสติกส์แบบครบเครื่องทั้งด้านกฎหมาย สิทธิประโยชน์ทางภาษี ระบบการค้า และระบบการขนส่งทั้งภายในประเทศและระดับสากลจำนวนไม่มาก จึงเป็นเหตุให้ผู้ประกอบการจำนวนมากพบแต่ผู้เชี่ยวชาญระดับท้องถิ่น (Local Specialist) เท่านั้น ผมไม่อยากให้เหตุการณ์คนไทยถูกทหารกัมพูชาจับกุมครั้งแล้วครั้งเล่าและก็เกิดขึ้นอีกไม่มีการป้องกันใด ๆ ในทำนองเดียวกัน ผมก็ไม่อยากให้ผู้ทำการค้าระหว่างประเทศต้องพบข้อผิดพลาดแบบไม่ตั้งใจโดยไม่มีผู้ชำนาญการโลจิสติกส์ที่แท้จริงยืนเคียงข้าง แม้ว่าประเทศไทยจะมีบุคลากรเหล่านี้ไม่มาก แต่ผมว่าก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่ท่านจะเลือกหาไว้เคียงกายแทนการเดินเท้าเพียงลำพังจนอาจเข้าเขตแดนกัมพูชาโดยไม่ตั้งใจครับ สิทธิชัย ชวรางกูร กลับสู่หน้าหลัก

  5. Global News ชู 6 แผนปั๊มส่งออกปี'54ปั้นเอสเอ็มอีสู่เวทีโลก กรมส่งเสริมการส่งออกจะดำเนินการใน 6 ยุทธศาสตร์เพื่อผลักดันยอดส่งออกปี 2554 ให้เติบโตขึ้นจากปีนี้ แบ่งเป็น 1. พัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยในเวทีการค้า ระหว่างประเทศ 2. ส่งเสริมการพัฒนาสินค้าและบริการบนพื้นฐานของการสร้าง มูลค่าเพิ่ม การสร้างตราสินค้า การสร้างสรรค์โดยเน้นความ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ 3. พัฒนาและส่งเสริมช่องทางการตลาดใหม่ๆ ตลอดจนสร้างภาพลักษณ์และเครือข่ายพันธมิตรทางการค้า 4. ส่งเสริมพัฒนาระบบโลจิสติกส์ทางการค้าเพื่อลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการไทย 5. รักษาตลาดหลักและกระจายการส่งออกไปตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ โดยใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีต่างๆ ควบคู่ไปกับการใช้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี) เป็นฐานทางการค้าระหว่างประเทศ 6. เสริมสร้างสมรรถนะด้านบุคลากรและระบบข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ อ่านต่อหน้า 2

  6. ทั้งนี้ ตามยุทธศาสตร์ดังกล่าวจะมุ่งเน้นใน 3 ด้านสำคัญ คือ 1.ส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก(เอสเอ็มอี) โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันสู่เวทีโลก 2.เร่งเจาะและขยายตลาดที่มีศักยภาพสูง เช่น อาเซียน จีน อินเดีย และรัสเซีย และ 3.ส่งเสริมสินค้าและธุรกิจบริการบนพื้นฐานของการสร้างมูลค่าเพิ่ม แผนส่งออกปีหน้าจะมุ่งพัฒนาการค้าของไทย ภายใต้กรอบข้อตกลงเขตการค้าเสรี(เอฟทีเอ) เพื่อก้าวไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 โดยจะเดินหน้าบุกตลาดอาเซียนอย่างเต็มที่ เพราะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง และมีกำลังซื้อสูง โดยตั้งเป้าการค้าในตลาดอาเซียนให้เติบโตขึ้น 20% ส่วนตลาดรองลงมา คือ จีน และอินเดีย อ่านต่อหน้า 3 หนังสือพิมพ์แนวหน้า

  7. คลังคาดเศรษฐกิจไทยปีนี้โตร้อยละ 7.8 เหตุส่งออก นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ประมาณการเศรษฐกิจไทย ณ เดือนธันวาคม 2553 ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2553 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 7.8 ปรับตัวดีขึ้นมากจากปีก่อนหน้าที่หดตัวร้อยละ -2.3 ต่อปี ซึ่งประมาณการครั้งนี้สูงกว่าประมาณการ ณ เดือนกันยายน 2553 ที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 7.5 สะท้อนภาพรวมทางเศรษฐกิจในปี 2553 ที่ถือว่าขยายตัวได้ในระดับสูงมาก โดยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐที่ขยายตัวในอัตราที่สูงตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก รวมถึงการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งได้รับแรงหนุนจากรายได้ของเกษตรกรที่เพิ่มสูงขึ้นจากการที่ราคาพืชผลสำคัญปรับตัวสูงขึ้น และการขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นตามการส่งออก อ่านต่อหน้า 4

  8. สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2553 จะอยู่ที่ร้อยละ 3.3 ใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้เดิม ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 0.9 สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2553 คาดว่าจะเกินดุลร้อยละ 4.4 ของ GDP เกินดุลลดลงจากปีที่แล้ว เนื่องจากการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ทำให้มูลค่านำเข้าสินค้ามีการเร่งตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 37.5 ต่อปี เทียบกับมูลค่าการส่งออกสินค้าที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 28.3 ต่อปี สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2554  สศค.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากปีนี้ โดยประเมินว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 4.5 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 4.0 – 5.0) ตามอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2553 ทั้งการบริโภคและการลงทุน ขณะที่อุปสงค์ภายนอกประเทศคาดว่าจะชะลอตัวลง เนื่องจากยังมีความเสี่ยงจากความเปราะบางของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยได้ ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2554 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.0 – 4.5 ต่อปี) โดยมีแรงกดดันที่สำคัญมาจากราคาน้ำมันที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นจากปีนี้ และราคาสินค้าเกษตรในประเทศที่อาจเร่งตัวขึ้น อ่านต่อหน้า 5

  9. ครม.ไฟเขียวลดภาษีชิ้นส่วนยานยนต์ครม.ไฟเขียวลดภาษีชิ้นส่วนยานยนต์ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติตามที่นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ได้เสนอร่างกฎกระทรวงการคลัง 2 ฉบับ ให้ยกเว้นและลดภาษีนำเข้าอุปกรณ์และชิ้นส่วนยานยนต์ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการผลิตรถยนต์ในประเทศและส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) เป็นเชื้อเพลิง โดยร่างกฎกระทรวงดังกล่าวจะมีผลทันที เมื่อกระทรงการคลังออกประกาศให้มีผลบังคับใช้ สำหรับร่างกฎกระทรวงการคลังฉบับแรกมีสาระสำคัญที่จะลดภาษีถังแก๊สซีเอ็นจี หรือเอ็นจีวี ที่ทำจากเหล็กกล้า จากอัตรา ที่เก็บอยู่ 17% ลงมาเหลือ 0% จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2554 จากนั้นในวันที่ 1 ม.ค. 2554 จะจัดเก็บที่อัตรา 10% พร้อมกันนี้ได้ เห็นชอบให้ลดภาษีอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซซีเอ็นจี จากที่เก็บอยู่ 35% ลงมาเหลือ 0% จากนั้นในวันที่ 1 ม.ค. 2555 จะจัดเก็บที่อัตรา 10% และลดภาษีนำเข้าเบรก กระปุกเกียร์และชิ้นส่วนกระปุกเกียร์ รวม 12 ประเภท จากเดิมจัดเก็บในอัตรา 30% เหลือ 10% ขณะที่รถเครน และปั้นจั่น จากที่จัดเก็บอยู่ที่ 40% ให้ลดลงมาเหลือ 10% อ่านต่อหน้า 6

  10. ส่วนร่างกฎกระทรวงฉบับที่สอง มีสาระสำคัญที่จะยกเว้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์และชิ้นส่วนที่นำเข้ามาผลิตรถขนส่งขนาดใหญ่ รถบรรทุก รถโดยสารที่มีผู้โดยสารเกิน 10 คนขึ้นไปเป็นเวลา 2 ปี โดยชิ้นส่วนและอุปกรณ์ดังกล่าวต้องเป็นชิ้นส่วนที่ไม่สามารถผลิตได้ในประเทศเท่านั้น เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการชิ้นส่วนในประเทศ ส่วนรถแวนและรถปิกอัพจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมาตรการภาษีนี้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการปกป้องผู้ประกอบการในประเทศที่สามารถผลิตชิ้นส่วนบางรายการในประเทศได้ จะไม่มีการยกเว้นภาษีให้แต่อย่างใด เช่น หม้อน้ำ ท่อไอเสีย แบตเตอรี่ สายไฟ สีรถยนต์ แหนบ ยาง ดรัมเบรก สตาร์ตเตอร์ กระจกกมองหลังภายในรถยนต์ แผงบังแดด และกระจกนิรภัย อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังยืนยันว่าแม้จะทำให้สูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีบ้างแต่ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจแล้วถือว่าคุ้มค่ากว่า และยังสนับสนุนให้ผู้ประกอบการในประเทศดำเนินธุรกิจต่อไปได้ด้วย. อ่านต่อหน้า 7 ไทยรัฐออนไลน์

  11. เศรษฐกิจขยายตัวส่งผลราคาพลังงานปี'54 พุ่งพรวด นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน กล่าวว่า จากทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย(จีดีพี) ในปี 2554 ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 3.5-4.5% ส่งผลให้แนวโน้มการใช้พลังงานโดยรวมในปี 2554 จะมีมูลค่าสูงถึง 1.915 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ 6.6% โดยปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบจะอยู่ที่วันละ 801,400 ล้านบาร์เรลต่อวัน ลดลง 0.1% เนื่องจากไทยผลิตปิโตรเลียมได้มากขึ้น แต่ในแง่มูลค่านำเข้าคาดว่าจะอยู่ที่ 746,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.7% ตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกที่คาดว่าจะพุ่งขึ้นเฉลี่ยที่บาร์เรลละ 90 เหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีนี้ 10% ส่วนการนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) คาดว่าจะอยู่ที่ 123,000 ตัน ลดลง 92% และต้องชดเชยการนำเข้ามูลค่า 19,571 ล้านบาท ลดลงจากปีนี้ที่ต้องชดเชย 20,919 ล้านบาท ซึ่งการนำเข้าที่ลดลงเพราะโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 6 เปิดดำเนินการแล้ว และการแยกโครงสร้างราคาก๊าซแอลพีจีจะจูงใจให้มีการผลิตในประเทศมากขึ้น ส่วนปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์(เอ็นจีวี) อยู่ที่วันละ 6,400 ตัน เพิ่มขึ้น 30.6% ด้านปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติคาดว่าจะอยู่ที่วันละ 4,335 ล้านลูกบาศก์ฟุต เพิ่มขึ้น 6.1% มีมูลค่าการใช้ 89,975 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.26% ส่วนการใช้ไฟฟ้าคาดว่าจะมีมูลค่า 504,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.5% และปริมาณการใช้อยู่ที่ 155,850 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 5.5% สำหรับการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาทนั้น จะใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปดูแล เบื้องต้นใช้วงเงิน 5,000 ล้านบาท แนวโน้มราคาพลังงานในปี 2554 คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นทุกตัว ซึ่งจากการที่ไทยต้องนำเข้าในราคาที่เพิ่มขึ้นตามราคาในตลาดโลก อาจส่งผลให้ราคาจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้น ดังนั้นในปี 2554 กระทรวงพลังงานจึงวางเป้าหมายเพื่อเร่งส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนตามแผน 15 ปี ให้เกิดขึ้นอย่างจริงจังมากขึ้น เพื่อลดการนำเข้า กลับสู่หน้าหลัก

  12. Supply & Demand สินค้าไทยที่อิตาลีต้องการ สวัสดีปีกระต่ายค่ะท่านผู้ประกอบการทุกๆท่าน หวังว่าทุกท่านจะได้รับการพักผ่อนท่องเที่ยวอย่างเต็มอิ่มในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมาเตรียมพร้อมสำหรับการลุยตลาดนำเข้าและส่งออกในปีนี้แล้วนะคะ สำหรับฉบับประเดิมปีกระต่ายเรามาเริ่มต้นกันที่ประเทศอิตาลีกันเป็นอันดับแรกเลยดีกว่าค่ะ จากปีที่ผ่านมาที่ประเทศกรีซประสบสภาวะเศรษฐกิจล่มครั้งยิ่งใหญ่ไปทำให้หลายๆประเทศในยุโรต่างหวาดผวากันว่าประเทศอื่นๆในละแวกใกล้เคียงจะล่มตามไปด้วย อิตาลีเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงและโดนจับตามอง แต่อย่างไรก็ตามระบบเศรษฐกิจของอิตาลียังคงขับเคลื่อนไปได้โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญได้แก่ การออมของประชาชนอยู่ในระดับสูง หนี้จากประชาชนและภาคเอกชนอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐานยุโรป และระบบธนาคารที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ครอบครัวอิตาลีเป็นครอบครัวที่รวยเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศสมาชิก G7 รองจากประเทศฝรั่งเศส และรวยเป็นอันดับ 7 ของโลก ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการค้าระหว่างประเทศ สินค้าที่ชาวอิตาลีนิยมนำเข้าจากประเทศไทยได้แก่ อ่านต่อหน้า 2

  13. อัญมณีและเครื่องประดับ – ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับต้นๆ ของไทยมาโดยตลอดและคาดว่าอิตาลีจะนำเข้าอัญมณีและเครื่องประดับเพิ่มขึ้นจากไทยในปีหน้า รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ - พบว่าในปีที่ผ่านมามียอดการส่งออกดีขึ้น เพราะในขณะนี้อิตาลีกำลังเสาะหา Supplier จากเมืองไทยประกอบกับมีผู้ผลิตอิตาลีได้เข้าไปตั้งฐานผลิตในเมืองไทยแล้ว ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลให้ยอดการส่งออกไม่ว่าจะเป็น ชิ้นส่วนประกอบรถบรรทุกรถยนต์ รถจักรยานยนต์และอุปกรณ์ประกอบ ต่างๆ เพิ่มขึ้น ยางพารา – เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยอีกรายการหนึ่งและมียอดการส่งออกเพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา ปลาหมึกสด, แช่แข็ง, แช่เย็น - เป็นสินค้าที่ตลาดอิตาลีต้องการเป็นอย่างมากแต่ผู้ส่งออกไทนไม่สามารถส่งออกได้ตามความต้องการเพราะมีจำกัด จึงถือเป็นการเสียโอกาสอย่างมาก จากการประมวลผลแล้ว หากผู้ประกอบการท่านใดสามารถหาปลาหมึกเพื่อการส่งออกได้ อย่ารอช้านะคะรีบส่งไปเจาะตลาดอีตาลีด่วนเลยค่ะ กลับสู่หน้าหลัก เพนกวิ้นตัวกลม

  14. All about Logistics คุณสมบัติของ freight forwarder ที่ดี ฉบับนี้เราจะมาวิเคราะห์กันต่อจากฉบับที่แล้วที่ผู้เขียนได้นำเสนอบทความที่น่าสนใจชิ้นหนึ่ง ว่าด้วยเรื่องของคุณสมบัติของ freight forwarder ที่ดีว่าควรจะมีลักษณะการทำงาน การให้บริการในรูปแบบไหนเพื่อจะเป็นกลยุทธ์ในการแย่งชิงตลาดจากลูกค้าทั้งระดับบนและล่าง ในปัจจุบัน เราต้องยอมรับกันก่อนว่ามีบริษัทข้ามชาติเข้ามาลงทุนเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมากมีทั้งเข้ามาเปิดสาขาที่เมืองไทย หรือ joint venture กับบริษัทไทยแท้เพื่อให้ได้รับสิทธิ์ในการเข้ามาลงทุนในประเทศ นายทุนเหล่านั้น เพียงถือกระเป๋าเข้ามาใบด้วยพร้อมด้วยเงินทุนจำนวนมหาศาลที่หนุนหลังอยู่ เท่านี้ ก็สามารถเข้ามาเปิดธุรกิจ freight forwarder ในประเทศไทย พร้อมที่จะตีตลาด Freight Forwarder ท้องถิ่นไทยเเท้อย่างไม่ยั้งมือ จากบทความของคุณดาริษา กล่าวโดยสรุปได้ว่า freight forwarder จะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้      1. ความเชี่ยวชาญในการให้บริการแสดงถึงการบริการที่มีคุณภาพ การตรงต่อเวลา และความเป็นมืออาชีพ รวมไปถึงการให้บริการแบบครบวงจร อ่านต่อหน้า 2

  15. 2. มีเครือข่ายที่กว้างขวางทั้งในประเทศและต่างประเทศ 2. มีเครือข่ายที่กว้างขวางทั้งในประเทศและต่างประเทศ      3. ความมั่นคงด้านการเงิน      4. มีการพัฒนาตัวเองให้เป็นแบบ One Stop Service       5. มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับลักษณะงานของลูกค้าในประเทศนั้นๆ เช่น Tracking System ผู้      6. ควรมีจัดโครงการเสริมความรู้ให้แก่ลูกค้าโดยจัดให้มีการสัมมนาในหัวข้อต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับลูกค้าและพันธมิตร เพื่อประโยชน์ทั้งในส่วนของลูกค้าและเพื่อสร้างความเข้มแข็งของกลุ่ม Freight Forwarders ด้วยกันเอง จากทั้ง 6 ข้อด้านบนนั้น จะว่าทำได้ยากก็ไม่ใช่ จะว่าง่ายก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะความเป็นไปได้ที่บริษัท freight forwarder ไทยเเท้จะสามารถตอบโจทย์ด้านบนได้ทั้งหมดนั้น อาจจะต้องใช้เงินทุนมหาศาล เครือข่ายที่กว้างไกลทั่วโลกซึ่งเราอาจจะเป็นรองบริษัทข้ามชาติก็ตรงจุดนี้ เพราะการที่บริษัทเหล่านั้นมีเงินทุน ส่วนหนึ่งย่อมมากจากการสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจที่เป็นประเทศแม่ในการขยายฐานกิจการไปยังเมืองท่าต่างๆทั่วโลก จึงไม่ใช่เรื่องที่ยากนักที่เราจะเห็นบริษัทอย่าง DHL FedEx หรือ Schenker กระจายอยู่ทั่วทุกหัวระเเหง แต่ถ้าพูดถึงข้อได้เปรียบของบริษัทไทยเเท้ๆที่น่าจะทำให้เราได้ใจชื้นขึ้นมาบ้างนั้น ผู้เขียนมองว่าแนวโน้มที่บริษัทของคนไทยจะมีองค์ความรู้ ในการปฏิบัติงาน และมีเข้าใจในธรรมชาติของคนไทย รวมไปถึงวัฒนธรรม และกฏเกณฑ์ต่างๆนั้น  ย่อมมีความเป็นไปได้สูงมากกว่าชาติชาติอื่นๆอยู่แล้ว จึงเป็นส่วนหนึ่งที่เราสามารถดึงมาเป็นจุดเด่นมาสู้กับบริษัทฯข้ามชาติได้ไม่มากก็น้อย รวมไปถึงการที่เราพูดจาภาษาเดียวกัน ย่อมทำให้เรามีเข้าใจกันได้มากขึ้น และยิ่งหากเราสามารถผนึกกำลังกันได้อย่างเข้มแข็ง โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือการพัฒนาระบบLogistics ของไทยให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมชาติอื่นๆนั้น อาจจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจในการตั้งรับ และสกัดกั้นการเติบโตของบริษัทข้ามชาติให้ชะลอตัวลงได้ ส่วนการพัฒนาอื่นๆนั้น อาจจะต้องอาศัยระยะเวลาเพื่อเพิ่มเม็ดเงินลงทุน ความมั่นคง และความน่าเชื่อถือให้ลูกค้าได้เห็นว่า บริษัทของคนไทยก็ไม่แพ้ชาติใดในโลกเช่นกัน กลับสู่หน้าหลัก นามปากกา

  16. เที่ยวรอบโลกกับ Peter Chan ประเทศภูฏาน สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่าน กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับคอลัมน์ เที่ยวรอบโลกกับ Peter Chan สัปดาห์นี้เราจะพาไปเที่ยวประเทศภูฏาน คงยังจำกันได้ใช่มั๊ยครับ ที่กษัตริย์แห่งภูฏานรูปงาม สมเด็จพระราชาธิบดี จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก เสด็จมาเยือนประเทศไทย โดยเป็นพระราชอาคันตุกะแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษก และพระองค์ยังได้แนวนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงไปปรับใช้ในประเทศ เราจะมาทำความรู้จักกับประเทศภูฏานให้มากขึ้นกันครับ ภูฏาน (Bhutan) (อ่านว่า พู-ตาน) หรือชื่อทางการคือ ราชอาณาจักรภูฏาน (Kingdom of Bhutan) เป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้ที่มีขนาดเล็ก และมีภูเขาเป็นจำนวนมาก ตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมาลัยระหว่างประเทศอินเดียกับจีน ประเทศภูฏาน มีเมืองหลวง(และเมืองใหญ่สุด) มีชื่อว่าเมืองทิมพู ใช้ภาษาซองคาและภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ การปกครองประชาธิปไตย ภายใต้รัฐธรรมนูญเหมือนบ้านเรา รายได้ต่อหัว 3,330 ดอลลาร์สหรัฐ 8,047.50 บาทต่อเดือน อ่านต่อหน้า 2

  17. ชื่อในภาษาท้องถิ่นของประเทศคือ Druk Yul (อ่านว่า ดรุก ยุล) แปลว่า "ดินแดนของมังกรสายฟ้า (Land of the Thunder Dragon) " นอกจากนี้ยังเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Druk Tsendhen เนื่องจากที่ภูฏาน เสียงสายฟ้าฟาดถือเป็นเสียงของมังกร ส่วนชื่อ ภูฏาน (Bhutan) มาจากคำสมาสในภาษาสันสกฤต ภู-อุฏฺฏาน อันมีความหมายว่า "แผ่นดินบนที่สูง" (ในภาษาฮินดี สะกด भूटถอดเป็นตัวอักษรคือ ภูฏาน) ประเทศภูฏาน เป็นประเทศที่ประกาศว่า จะไม่สนใจ GDP (GDP - Gross DomesticProduct หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) แต่จะสนใจ GDH แทน (GDH - Gross Domestic Happiness หรือ ความสุขรวมภายในประเทศ (อืม... น่าคิดนะ) ในปี พ.ศ. 2173 ดรุกปา ลามะ ลี้ภัยจากทิเบตสู่ภูฏาน ต่อมาได้ตั้งตัวขึ้นเป็น ธรรมราชา ปกครองครองดินแดนด้วยระบบศาสนเทวราช มีคณะรัฐมนตรีช่วย 4 ตำแหน่ง แม้ภูฏานจะพยายามแยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ต่อมาก็ถูกรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะทิเบตอยู่หลายครั้งในช่วงพุทธศตวรรษที่ 22 ถึง 23 ในระยะต่อมาก็ยังถูกรุกรานโดยอังกฤษซึ่งมีอำนาจอยู่ในอินเดียก่อนที่จะได้เจรจาสงบศึกกัน ในปี พ.ศ. 2453 ประเทศภูฏานมีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุขเหมือนบ้านเรา ภายใต้การปกครองโดย สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 5 ของราชวงศ์วังชุก ทรงปกครองประเทศโดยมีคณะองคมนตรีเป็นที่ปรึกษา และสภาแห่งชาติที่เรียกว่า ซงดู (Tsongdu) ทำหน้าที่ในการออกกฎหมาย ประกอบด้วยสมาชิก 161 คน สมาชิก 106 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน สมาชิก 55 คน มาจากการแต่งตั้งของพระมหากษัตริย์ อ่านต่อหน้า 3

  18. สัตว์ประจำชาติ :ทาคิน เป็นสัตว์ที่หายาก เพราะมีอยู่ในดินแดนภูฏานเพียงแห่งเดียว และอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ มีลักษณะคล้ายวัวผสมแพะตัวใหญ่ มีเขา ขนตามตัวมีสีดำ มักจะอาศัยอยู่กันเป็นฝูงในป่าโปร่ง บนความสูงกว่า 4,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไป ชอบกินไม้ไผ่เป็นอาหาร อาหารประจำชาติ : อาหารพื้นบ้านเป็นอาหารเรียบง่าย อาหารหลักเป็นทั้งข้าวบะหมี่ข้าวโพด ยังนิยมเคี้ยวหมากอยู่ อาหารส่วนใหญ่ประกอบด้วยพริก ผักและมันหมู อาหารประจำชาติคือ emadate ซึ่งประกอบด้วยพริกสดกับซอสเนยต้มกับหัวไชเท้า มันหมูและหนังหมู ชาวภูฏานนิยมอาหารรสจัด เครื่องดื่มมักเป็นชาใส่นมหรือน้ำตาล ในฤดูหนาวนิยมดื่มเหล้าหมักที่ผสมข้าวและไข่ ไม่นิยมสูบบุหรี่ นอกจากนั้นมีอาหารจากทิเบต เข่นซาลาเปาไส้เนื้อ ชาใส่เนยและเกลือ และอาหารแบบเนปาลในภาคใต้ที่กินข้าวเป็นหลัก สภาพภูมิประเทศมีลักษณะเป็นเทือกเขา ประเทศภูฏานเป็นประเทศที่มีขนาดเล็ก มีพื้นที่ประมาณ 38,394 ตารางกิโลเมตร (ขนาดใกล้เคียงกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์) ตั้งอยู่เหนือรัฐอัสสัมของประเทศอินเดีย ภูฏานเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ปรากฏภูมิประเทศ 3 ลักษณะ เทือกเขาสูงตอนเหนือ เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัย ที่ลาดเชิงเขา พบตอนกลางของประเทศ ที่ราบ พบตอนใต้ของประเทศ มีแม่น้ำพรหมบุตรพาดผ่าน อ่านต่อหน้า 4

  19. เนื่องจากภูฏานเป็นประเทศขนาดเล็ก ลักษณะภูมิอากาศจึงไม่แตกต่างกันมากนัก โดยมากเป็นภูมิอากาศแบบกึ่งร้อนมีฝนชุก ยกเว้นตอนเหนือซึ่งเป็นภูเขาสูง ทำให้มีอากาศแบบหนาวเทือกเขา อากาศ กลางวัน 25 - 15 องศาเซลเซียส กลางคืน 10 - 5 องศาเซลเซียส มี 4 ฤดู คือ ฤดูใบไม้ผลิ จะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคม ช่วงนี้อากาศจะอบอุ่นและอาจมีฝนประปราย ฤดูร้อน จะอยู่ในช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม ช่วงนี้จะมีพายุฝน ตามเทือกเขาจะเขียวชอุ่ม ฤดูใบไม้ร่วง จะอยู่ในช่วงเดือนกันยายน - พฤศจิกายน ช่วงนี้อากาศจะเย็น ท้องฟ้าแจ่มใส เหมาะแก่การเดินเขา ฤดูหนาว จะอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ อากาศจัดเย็นจัดตอนกลางคืนและรุ่งเช้า และจะมีหมอกหนา บางครั้งโดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคม อาจมีหิมะตกบ้าง สกุลเงินของภูฏานคืองุลตรัมซึ่งผูกค่าเงินเป็นอัตราคงที่กับรูปีอินเดีย และเงินรูปียังสามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายอีกด้วย แม้ว่าภูฏานจะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กที่สุดในโลก แต่ก็มีอัตราการเติบโตที่สูงมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา (ร้อยละ 8 ในปี 2005 และร้อยละ 14 ในปี 2006) ในปี 2007 ภูฏานเป็นประเทศที่มีอัตราเติบโตสูงเป็นอันดับสองของโลกโดยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงถึงร้อยละ 22.4 ซึ่งเป็นผลจากการเริ่มใช้เขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าทาลา รายได้หลักของประเทศ มากกว่าร้อยละ 33 ของจีดีพี มาจากการเกษตร และประชากรกว่าร้อยละ 70 มีวิถีชีวิตขึ้นอยู่กับผลิตผลทางการเกษตรด้วย สินค้าส่งออกสำคัญคือไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ ซึ่งส่งออกไปยังอินเดีย ประชาชนชาวภูฏานนับถือ ศาสนาพุทธนิกายมหายาน (ตันตรยาน หรือบ้างก็เรียกว่า วัชรยาน) 75% ศาสนาฮินดู 24% ศาสนาอิสลาม 0.7% และ ศาสนาคริสต์ 0.3% กลับสู่หน้าหลัก Peter Chan

  20. S.N.P. Philosophy สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่เคารพ สัปดาห์นี้ SNP Philosophy อาจจะเข้าใจยากไปซักนิดนึง แต่ถ้าตั้งใจอ่านดี ๆ หรืออ่านซักสองรอบ จะมีประโยชน์มาก และเอาไปใช้ได้ในชีวิตประจำวันเพื่อความสุขรับปีใหม่ 2554 ครับ สติมาปัญญาเกิด รับรู้ในกายจิตแนบชิดธรรมเพื่อน้อมนำจิตใจห่างไกลห่วงสรรพสิ่งโลกเราว่างเปล่ากลวงควรปล่อยล่วงผ่านไปในเวลาเพียงรับรู้เข้าใจในวันนี้ตามแต่มีผ่านกายให้คุณค่าอีกทั้งสุขโศกเศร้าเคล้าเวทนาอนิจจาปล่อยไปไม่แน่นอนมีเกิดก็มีดับสลับเปลี่ยนต่างหมุนเวียนตามเหตุเภทแต่ก่อนสืบต่อเป็นเงื่อนไขในบทตอนอาจยอกย้อนหากใจไม่ปล่อยวาง ปล่อยวางไปตามจริงสิ่งมีอยู่เพียงรับรู้บอกใจไม่คิดต่างสักแต่เห็นยินยลบนรายทางปล่อยไปอย่างที่เป็นเช่นที่เคยมีสติที่ฐานงานของจิตมิต้องคิดปรุงแต่งแจกแจงเอ่ยมีความรู้เท่าทันเท่านั้นเอยธรรมจะเผยให้รู้อยู่ในตน กลับสู่หน้าหลัก

  21. Thank You ! พบกันใหม่ฉบับหน้า Logistics Specialist and International Freight Forwarder www.themegallery.com กลับสู่หน้าหลัก

More Related