1 / 12

ครม.ตีกลับกฎหมายลิขสิทธิ์

N. S. P. MD SAYS “ ระบบศาล ”. จีน ยังไม่เป็นหัวรถจักรนำพาเศรษฐกิจโลก. สิ่งที่ต้องเตรียมให้พร้อมก่อนการส่งออกผักและผลไม้. ครม.ตีกลับกฎหมายลิขสิทธิ์. ยกระดับลอจิสติกส์ท่าเรือแหลมฉบัง. อินเดีย : ประเทศที่น่าจับตามองในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ. S. ระบบศาล

Télécharger la présentation

ครม.ตีกลับกฎหมายลิขสิทธิ์

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. N S P MD SAYS “ระบบศาล” จีน ยังไม่เป็นหัวรถจักรนำพาเศรษฐกิจโลก สิ่งที่ต้องเตรียมให้พร้อมก่อนการส่งออกผักและผลไม้ ครม.ตีกลับกฎหมายลิขสิทธิ์ ยกระดับลอจิสติกส์ท่าเรือแหลมฉบัง อินเดีย : ประเทศที่น่าจับตามองในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ

  2. S ระบบศาล ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสังคมไทยทุกวันนี้ หลายท่านอาจฟันธงว่า คงไม่มีใครสามารถแก้ไขได้เพราะการทุจริต การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ การแตกแยกในสังคม และปัญหาในสังคมที่เกิดขึ้นมากจนน่าใจหาย นักวิชาการบางท่านให้ข้อคิดว่า มันจะเกิดวิวัฒนาการไปสู่จุดหนึ่งเองตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ แต่ในมุมของผมนั้น ผมมองว่า ต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมดมันสะสม มันฝังรากลงลึกอยู่ในสังคมไทยมาช้านาน เราพบเห็นเรื่องราวของเจ้าหน้าที่รัฐละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ใช้อำนาจอย่างไม่เหมาะสม เห็นพ่อค้าเอาเปรียบประชาขน เห็นการทุจริตคอรัปชั่น การทำผิดกฎหมาย เกิดขึ้นมานานเหมือนเป็นเรื่องปกติ ผมลองสมมุติดู เป็นการสมมุตินะครับ สมมุติว่า ในอดีต เรื่องราวไม่ถูกไม่ควรเหล่านี้ ถูกนำสู่ระบบศาล ใครจะผิดใครจะถูก การตัดสินและการลงโทษเป็นไปด้วยความรวดเร็วทั้งศาลชั้นต้น ชั้นอุทธรณ์ และชั้นฎีกา ให้สังคมประจักษ์ ผลที่ตามมาคือ คนในสังคมเกิดการรับรู้ครับ ลัทธิเอาอย่างจะไม่เกิด หรือหากจะเกิดก็จะไม่มากมาย เรื่องราวต่าง ๆ ก็จะเป็นที่รับรู้ว่า อะไรคือถูก อะไรคือผิด คนที่กำลังจะทำผิด กำลังจะทำความเดือดร้อนวุ่นวาย กำลังจะละเว้นหรือใช้อำนาจเกินขอบเขต หรือกำลังจะทุจริต ก็จะเกิดความตระหนักมากขึ้น เกิดความเกรงกลัวมากขึ้น N P ต่อหน้า 2

  3. หน้า 2 ผมใช้คำว่า สมมุติ และสรุปว่า “ตระหนักและเกรงกลัวมากขึ้น” เพราะหากเปรียบเทียบกับสังคมจริงในปัจจุบัน คนที่กำลังจะทำผิด ก็มีการตระหนักและความเกรงกลัวเหมือนกัน แต่เป็นการตระหนักและเกรงกลัว ที่จะถูกจับได้เท่านั้น ส่วนตอนที่กำลังจะทำผิดอยู่นั้น ผู้ทำผิดเห็นเพียงแต่แบบอย่างของผู้อื่นที่ทำแล้วไม่เห็นมีปัญหาอะไร หรือมีปัญหาตามมา ก็แก้ได้ ไม่เห็นเดือดร้อนอะไร ในสังคมสมมุติของผม ผมจึงมีแนวคิดว่า หากระบบศาลของไทยสามารถตัดสินคดีความ ได้รวดเร็ว ไม่ต้องรอหลายปี จนถึงเป็นสิบปี สังคมน่าจะเปลี่ยนไป ผมว่าการตระหนักและความเกรงกลัวน่าจะนำไปสู่การพัฒนาทางสังคมที่ดีขึ้นได้ ผมเคยเห็นคดีฉ้อโกงที่มีพยาน มีหลักฐานชัดเจน แต่ระบบศาลทำให้ต้องมีการสืบพยานกันนาน กว่าจะสรุปกันได้ 2 หรือ 3 ศาล ใช้เวลานับสิบปี เราจึงพบเห็นว่า คนลืมกันไปแล้ว บางคดีผมเคยเห็นโจทย์หรือจำเลย รอไม่ไหว ชิงลาตายไปก่อนก็มี ผมเคยนำแนวคิดนี้ สนทนากับท่านผู้พิพากษาท่านหนึ่ง ท่านให้ข้อคิดว่า ระบบศาลต้องตัดสินตามพยานหลักฐาน ท่านบอกผมว่า ศาลผ่านการตัดสินมามาก เพียงท่านเห็นหน้าคู่ความ ท่านก็พอประมาณได้ว่า ใครถูก ใครผิด แต่ท่านต้องให้ความเป็นธรรม ท่านต้องให้โอกาสสืบพยานอย่างเต็มที่ก่อนการตัดสิน และข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่ง คดีที่นำขึ้นสู่ศาลปัจจุบันมีมาก มากจนทำให้บุคลากรทางศาลไม่เพียงพอ ในขณะที่บุคลากรที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ได้นั้น หาได้ยากยิ่ง S N P ต่อหน้า 3

  4. หน้า 3 ดังนั้น ผมจึงมีแนวคิดว่า หากจะพัฒนาสังคมไทย ต้องพัฒนาระบบศาลก่อน ผมไม่ได้หมายถึงการพัฒนาตัวท่านผู้พิพากษานะครับ เพราะผมว่า กว่าท่านจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้ ต้องคนดีมากและน่าเชื่อถือ แต่ที่ผมว่าพัฒนาระบบศาลนั้น ผมหมายถึง ทำให้ระบบศาลทำงานได้เร็วขึ้น  ความเห็นของผมก็คือ เราควรมีกฎหมายฉบับหนึ่งเพื่อจัดตั้งองค์กรที่มีคณะบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือขึ้นมาโดยมีกฎหมายรองรับ คดีใดก็แล้วแต่ หากมีพยานหลักฐานชัดเจนและไม่ซับซ้อน ก็ให้อำนาจองค์กรนี้ เร่งรัดกระบวนการต่าง ๆ เท่าที่กฎหมายให้อำนาจ ให้เร็วขึ้น เพื่ออำนวยการให้ศาลแต่ละระดับตัดสินความได้เร็วขึ้น เพียงเท่านี้ คดีที่ไม่ซับซ้อนก็จะน้อยลง ส่วนคดีที่มีความซับซ้อน ต้องใช้เวลานำสืบพยานหลักฐาน ก็ยังคงต้องยอมปล่อยให้กระบวนต่าง ๆ มันเดินไปเหมือนเดิมเพื่อความเป็นธรรมของทุกฝ่าย การสร้างกฎหมายรองรับให้ระบบศาลทำงานได้เร็วขึ้น ผมเชื่อว่า จะทำให้การรับรู้ของสังคม การตระหนัก และความเกรงกลัวต่อบทลงโทษย่อมเป็นไปด้วยความรวดเร็วขึ้น และจะส่งผลต่อการพัฒนาสังคมให้เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสมกว่าในปัจจุบัน           แนวคิดนี้ เป็นเพียงข้อเสนอของผมโดยส่วนตัวเท่านั้น เอาไว้ผมมีโอกาสสนทนากับผู้เกี่ยวข้องมากขึ้นถึงความเป็นไปได้ ผมจะนำเรื่องราวมาเล่าสู่ให้ฟังต่อไป S N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก

  5. เนื่องจากผู้บริโภคสหรัฐฯ ไม่ใช่หัวรถจักรตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกอีกต่อไปแล้ว ผู้เชี่ยวชาญจึงกำลังหันมาจับจ้องมองดูจีน ทว่าก็ยังมีความสงสัยข้องใจกันอยู่มากว่า ยักษ์ใหญ่เอเชียรายนี้จะสามารถก้าวขึ้นมารับบทบาทอันใหญ่โตดังกล่าวสืบแทนได้หรือไม่ รอเบิร์ต เซลลิก ประธานธนาคารโลก กล่าวในช่วงก่อนหน้าการประชุมประจำปีของเวิลด์แบงก์ที่เมืองอิสตันบุล ประเทศตุรกีว่า "ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าใครจะก้าวขึ้นมาเป็นแหล่งดีมานด์สำคัญของโลกแทนที่ผู้บริโภคสหรัฐฯ“ แม้เขาไม่ได้ระบุชื่อออกมา แต่ก็เห็นชัดเจนว่าสเตราส์-คาห์นพูดเรื่องนี้โดยนึกถึงประเทศจีนอยู่ในใจ อย่างไรก็ตาม ทั้งๆ ที่ปักกิ่งได้อัดฉีดเงินถึงราว 4 ล้านล้านหยวน (585,000 ล้านดอลลาร์) เข้าไปในระบบเศรษฐกิจในระยะ 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นอัตราการเติบโตและชดเชยยอดส่งออกที่ตกลง ทว่าเศรษฐกิจจีนก็ยังดูห่างไกลจากการเดินหน้าได้อย่างเต็มสูบ และก่อให้เกิดดีมานด์ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโลกให้คึกคักสดใส    จองวา ลี ประธานธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย(เอดีบี) ชี้ว่าเท่าที่ผ่านมา ผลกำไรมหาศาลที่บริษัทจีนเก็บเกี่ยวได้นั้นแทบจะไม่ตกถึงกระเป๋าของพวกคนงานสักเท่าไร เขาเห็นว่าหากกำไรของบริษัทกระจายไปถึงครอบครัวผู้บริโภคทั้งหลาย ก็จะช่วยให้มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นและจะกระตุ้นปริมาณความต้องการสินค้าของคนจีนด้วย S N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

  6. ผักและผลไม้ของไทยเริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับมากขึ้นจากประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป จีน และฮ่องกง ซึ่งเห็นได้จากมูลค่าส่งออกผักและผลไม้รวม 352 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งขยายตัวร้อยละ 8.4 ในปี 2546 เนื่องจากการเพาะปลูกผักและผลไม้ของไทยมีมาตรฐานสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประเทศคู่ค้าของไทยมีแนวโน้มให้ความสำคัญมากขึ้นกับสุขอนามัยของผักและผลไม้ โดยเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบศัตรูพืชและปริมาณสารพิษตกค้างในผักและผลไม้เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคและใช้เป็นมาตรการกีดกันทางการค้า จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ส่งออกผักและผลไม้ของไทยควรศึกษาและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่แต่ละประเทศกำหนดอย่างเคร่งครัด สิ่งสำคัญที่ผู้ส่งออกผักและผลไม้ของไทยต้องเตรียมพร้อมก่อนการส่งออกมีดังนี้     ใบรับรองปลอดศัตรูพืช (Phytosanitary Certificate) ประเทศผู้นำเข้าส่วนใหญ่มักกำหนดให้ผู้ส่งออกผักและผลไม้ (สดแช่เย็น แช่แข็ง และอบแห้ง) ต้องมีใบรับรองปลอดศัตรูพืชจากประเทศผู้ส่งออกแสดงต่อด่านนำเข้าจึงจะอนุญาตให้นำเข้าได้ ในขณะที่ผักและผลไม้บางชนิดอาจไม่ต้องมีใบรับรองปลอดศัตรูพืช (ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละประเทศ) และในบางประเทศอาจมีข้อกำหนดเพิ่มเติมให้ระบุในใบรับรองปลอดศัตรูพืช อาทิ วิธีการกำจัดศัตรูพืช ชนิดของศัตรูพืช หรือกำหนดให้เจ้าหน้าที่ในประเทศของตนต้องลงนามร่วมกับเจ้าหน้าที่ของประเทศผู้ส่งออก (เฉพาะการส่งออกมะม่วงและมังคุดไปญี่ปุ่นเท่านั้น)    ผู้ที่ต้องการส่งออกผักและผลไม้ต้องให้กรมวิชาการเกษตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ออกใบรับรองปลอดศัตรูพืช โดยเจ้าหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตรจะสุ่มตรวจสินค้าก่อนจึงจะออกใบรับรองให้ ซึ่งปริมาณการสุ่มตรวจขึ้นอยู่กับปริมาณศัตรูพืชที่มีโอกาสปนเปื้อนไปกับผักและผลไม้ อย่างไรก็ตาม ผักและผลไม้อาจถูกสุ่มตรวจจากประเทศปลายทางอีกครั้งแม้ว่ามีใบรับรองปลอดศัตรูพืชแล้วก็ตาม ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละประเทศเป็นสำคัญ S N P ต่อหน้า 2

  7. หน้า 2 ใบรับรองสารพิษตกค้าง (Certificate of Pesticide Residues) กรมวิชาการเกษตรกำหนดให้การส่งออกผักและผลไม้บางชนิด (สดแช่เย็น แช่แข็ง และอบแห้ง ทั้งเป็นลูก แกะเปลือก และหั่นเป็นชิ้น ขึ้นอยู่กับชนิดของผักและผลไม้เป็นสำคัญ) ไปยังตลาดส่งออกสำคัญต้องได้รับการตรวจสารพิษตกค้างจากกรมวิชาการเกษตรก่อนแม้ว่าประเทศผู้นำเข้าไม่กำหนดเงื่อนไขของการมีใบรับรองสารพิษตกค้างก็ตาม เพื่อให้การส่งออกผักและผลไม้ไปยังประเทศต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น สำหรับรายละเอียดของผักและผลไม้ที่กรมวิชาการเกษตรกำหนดให้ต้องตรวจสารพิษตกค้างมีดังนี้ ผักและผลไม้ 12 ชนิด ที่ส่งออกไปสหภาพยุโรปและอีก 6 ประเทศ คือ สิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น จีน มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา ได้แก่ กระเจี๊ยบเขียว ขิง (อ่อนและแก่) ข้าวโพดฝักอ่อน พริก (รวมพริกแห้งและพริกป่น) หน่อไม้ฝรั่ง ลำไย ทุเรียน ลิ้นจี่ มังคุด มะม่วง มะขาม (หวาน เปรี้ยว และอ่อน) และส้มโอ ผัก 21 ชนิด ที่ส่งออกไปญี่ปุ่น ได้แก่ คะน้า ผักคะแยง ใบบัวบก ผักแพรว ชะอม/ส้มป่อย ใบมะกรูด กระเจี๊ยบเขียว ผักชี ยี่หร่า ใบกะเพรา ใบโหระพา ตะไคร้ ใบสะระแหน่ ผักชีฝรั่ง ผักขึ้นฉ่าย ใบแมงลัก ผักเป็ด ถั่วลันเตา กะหล่ำใบ ผักชีลาว และผักกะเฉด     ทั้งนี้ สารตกค้างที่อยู่ในเกณฑ์ตรวจสอบ คือ สารกำจัดแมลง 38 ชนิด สารกำจัดโรคพืช 7 ชนิด และสารกำจัดวัชพืช 7 ชนิด      การจดทะเบียนผู้ส่งออก กรมวิชาการเกษตรกำหนดให้ผู้ส่งออกทุเรียนสดและลำไยสด ต้องจดทะเบียนเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรก่อนจึงสามารถส่งออกผลไม้ทั้ง 2 ชนิดออกนอกราชอาณาจักรได้ สำหรับด้านประเทศผู้นำเข้าขณะนี้มีเพียงออสเตรเลียซึ่งกำหนดให้ผู้ส่งออกสับปะรดสดไปออสเตรเลียต้องจดทะเบียนเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรก่อน S N P ต่อหน้า 3

  8. หน้า 3 การขึ้นทะเบียนสวน ปัจจุบันประเทศผู้นำเข้าบางประเทศเริ่มกำหนดให้ผู้ส่งออกต้องขึ้นทะเบียนสวนซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกผลไม้ที่ต้องการส่งออก อาทิ จีนกำหนดให้ขึ้นทะเบียนสวนมะม่วง และออสเตรเลียกำหนดให้ขึ้นทะเบียนสวนสับปะรด เป็นต้น ทั้งนี้ กรมวิชาการเกษตรจะเป็นผู้ขึ้นทะเบียนสวนให้กับผู้ส่งออก    การจัดเตรียมใบรับรองและการจดทะเบียนดังกล่าวข้างต้น นอกจากจะช่วยลดอุปสรรคในการส่งออกผักและผลไม้ของไทยแล้ว ยังช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับผักและผลไม้สดซึ่งมีโอกาสเน่าเสียง่ายหากมีการกักกันการนำเข้า ณ ประเทศปลายทาง ขณะเดียวกัน ผู้ส่งออกควรศึกษาถึงข้อมูลด้านอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย อาทิ ชนิดของผักและผลไม้ที่แต่ละประเทศอนุญาตให้นำเข้า รสนิยมของผู้บริโภค ช่วงเวลาที่ควรส่งออก และระบบภาษี เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นก่อนการส่งออกผักและผลไม้ไปตลาดต่างประเทศ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย S N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก

  9. S เมื่อสัปดาห์ก่อนเราได้นำเสนอกฎหมายลิขสิทธิ์ ที่ผู้ซื้อสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ สัปดาห์นี้เรามีความคืบหน้ากฎหมายดังกล่าว โดย นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.สั่งให้กระทรวงพาณิชย์กลับไปหารือกับสำนักงานอัยการสูงสุดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ และ พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าให้สมบูรณ์มากขึ้น หลังจากกระทรวงพาณิชย์กำหนดให้ผู้ซื้อสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ต้องโทษอาญา ปรับไม่เกิน 1,000 บาท รวมถึงเจ้าของสถานที่ปล่อยให้มีการขายสินค้าต้องรับโทษด้วย โดย ครม.มีความคิดเห็นหลากหลายโดยเฉพาะการปรับ 1,000 บาท ควรให้เป็นอำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐ คือ กระทรวงพาณิชย์ ไม่ใช่อำนาจตำรวจ ซึ่งเกรงว่าจะมีความซับซ้อน อาจมีการกลั่นแกล้ง และบางคนเสนอว่า ผู้กระทำผิดดังกล่าวควรให้ไปบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ รวมถึงเจ้าของสถานที่ เช่น สถานที่ราชการ วัด โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า ที่ปล่อยให้ขายสินค้า จะต้องรับโทษอย่างไรบ้าง.- N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก สำนักข่าวไทย

  10. ขณะนี้คณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) มีมติเห็นชอบรายงานการศึกษาวิเคราะห์ความเหมาะสมทางด้านวิศวกรรมและการเงินโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ ทลฉ. (Single Rail Transfer Operator : SRTO) แล้ว ซึ่งรายงานการศึกษาฯ ดังกล่าวประกอบด้วยรูปแบบ การจัดวางรางและลานขนถ่าย งบประมาณ และแผนการลงทุนระยะที่ 1 และระยะที่ 2 พร้อมทั้งรูปแบบการลงทุนและประกอบการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการ นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ทั้งนี้ จากผลการศึกษาโครงการดังกล่าว จะมีการพัฒนาพื้นที่โซน 4 ซึ่งจะอยู่ระหว่าง ทลฉ.เฟส 1 และเฟส 2 ขนาด พื้นที่จำนวน 600 ไร่ โดย ทลฉ.จะลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ การรื้อย้าย และก่อสร้างระบบรางลานขนถ่ายและลานกองตู้สินค้า ระบบสาธารณูปโภค งานอาคาร รวมทั้งทางรถไฟรางคู่ จากสถานีแหลมฉบังเข้าสู่ลานขนถ่ายภายในท่าเรือ และจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือยกขนหลัก (Major Equipments) ได้แก่ ปั้นจั่นชนิดเดินบนรางสำหรับยกตู้สินค้าขึ้น - ลงรถไฟ (Rail Mounted Gantry Crane : RMG) ซึ่งสามารถยกขนคร่อมรางรถไฟได้ทั้ง 6 ราง และยกตู้สินค้าจากรถบรรทุกสินค้าทั้ง 2 ข้าง ข้างละ 3 ช่องจราจรได้ในคราวเดียวกัน โดยให้เอกชนผู้ร่วมลงทุนบริหารประกอบการเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์เครื่องมือย่อย (Minor Eqeration (IT) แผนการ ลงทุนในโครงการดังกล่าว แบ่งเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 เป็นการพัฒนาเพื่อรองรับตู้สินค้าจนถึงระดับจำนวน 1 ล้านทีอียู/ปี และระยะที่ 2 จะสามารถรองรับตู้สินค้าได้ถึง 2 ล้านทีอียู/ปี ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 2,570 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ประมาณเดือนเมษายน 2555            “เมื่อศูนย์การขนส่งสินค้าทางรถไฟ นี้แล้วเสร็จ จะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในระบบการขนส่งโดยรวม โดยเฉพาะระบบ ลอจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่าย รวมทั้งยังเป็นการสนับสนุนยุทธศาสตร์ในการปรับเปลี่ยนการขนส่งจากทางถนนมาใช้ทางรถไฟเพิ่มขึ้นด้วย” ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ S N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก

  11. การกระจายรายได้ของแต่ละประเทศนั้น เป็นที่แน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนประชากรและพื้นที่ของประเทศย่อมมีผลเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะเศรษฐกิจซบเซาทั่วโลกเช่นนี้ประเทศใหญ่ๆอย่างสหรัฐอเมริกา สาธารณะรัฐประชาชนจีน และอินเดีย จึงต้องรับมืออย่างหนักกับสภาวการณ์นี้มากกว่าประเทศอื่นๆ สำหรับสองประเทศแรกนั้นถือเป็นสองในประเทศผู้นำเศรษฐกิจของโลกอยู่แล้วจึงมีมาตรการในการแก้ไขและรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจที่เป็นระบบระเบียบ ในขณะที่ประเทศอินเดียนั้นขึ้นชื่อว่ามีระบบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์แบบชัดเจน คือการที่คนในสังคมชั้นสูงก็จะมีความร่ำรวยที่สุดโต่งในขณะที่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศนั้นมีฐานะที่ค่อนข้างยากจนลงไปถึงไม่มีอันจะกินและอดอยากเลยทีเดียว            ถือเป็นเคราะห์กรรมของอินเดียที่นอกจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลกแล้ว อินเดียยังต้องเผชิญกับสภาวะการขาดฝนและแห้งแล้งอย่างหนักหนักหน่วงที่สุดในรอบ 27 ปี ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นหน่วยการจ้างงานที่ใหญ่ที่สุดของอินเดียก่อให้เกิดภาวะรายได้ลดต่ำลงจนถึงการเลิกว่าจ้างในระดับที่สูง อย่างไรก็ตามพรรคผู้นำของประเทศอินเดียได้ยอมรับสภาวะวิกฤตนี้ได้อย่างน่าชื่นชมด้วยการลดต้นทุนความฟุ่มเฟือยทุกอย่างลง นางซอนย่า คานธีประธานรัฐสภาอินเดียปัจจุบันโดยสารเครื่องบินพานิชย์แทนเครื่องบินส่วนตัว และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ปกติจะเข้าพักเฉพาะโรงแรมระดับห้าดาวขึ้นไปเท่านั้น ปัจจุบันท่านพักที่เรือนรับรองแขกของรัฐบาล นักการเมืองระดับแนวหน้าของประเทศอีกหลายๆท่านที่เปลี่ยนจากการใช้เครื่องบินเดินทางไปยังเมืองต่างๆมาเป็นการขึ้นรถไฟแทน ทางด้านระดับประชาชนทั่วไปนั้นก็มีการลดค่าใช้จ่ายกันถ้วนหน้า ในช่วงเทศกาล Durga Puja S N P ต่อหน้า 2

  12. หน้า 2 ซึ่งจะมีการเฉลิมฉลองกันต่อเนื่อง 10 วันนั้น มักจะเป็นช่วงเทศกาลที่ชาวอินเดียใช้จ่ายอย่างหนัก สตรีอินเดียมักจะซื้อชุดส่าหรีใหม่ 10 ชุดพร้อมทั้งเครื่องประดับมากมายเพื่อใช้ในการเฉลิมฉลองนี้ แม้ว่าการเฉลิมฉลองนี้ยังคงคึกคักเช่นเดิม แต่การใช้จ่ายในแต่ละครัวเรือนนั้นน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ชุดส่าหรีมีการซื้อขายกันน้อยลงในขณะที่แฟชั่นและเครื่องประดับต้องเปลี่ยนแบบเป็นที่ดูไม่หวือหวานัก เนื่องจากชาวอินเดียส่วนใหญ่รู้สึกว่าไม่เป็นการควรที่จะอวดความมั่งมีในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้            นับได้ว่าสังคมของประเทศอินเดียเป็นสังคมที่มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมสูงมากเมื่อเทียบกับหลายๆประเทศที่มีปัญหาเศรษฐกิจที่หนักหน่วงไม่แพ้กันแต่ระดับผู้นำประเทศยังคงใช้ชีวิตที่ฟุ่มเฟือยหรูหรา และประชาชนทั่วไปในประเทศยังคงยึดติดกับรสนิยมที่โก้หรู หากทุกประเทศทั่วโลกสามารถทำได้อย่างอินเดีย สภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่เรากำลังเผชิญกันอยู่นี้ก็คงจะใช้เวลาไม่นานนักที่จะผ่านพ้นไปได้ และความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมของอินเดียนี้ยังสื่อให้เห็นอีกด้วยว่าเมื่อเศรษฐกิจในประเทศอินเดียฟื้นตัวแล้วนั้น อินเดียอาจจะเป็นม้ามืดตัวใหม่ในเวทีเศรษฐกิจโลกก็ได้ S N P กลับเข้าสู่หน้าหลัก อ้างอิงมาจาก http://news.bbc.co.uk/2/hi/business/8290430.stm

More Related