1 / 102

บทที่ 1

บทที่ 1. Public Administration. 1. Public Administration. จะมีความหมายอยู่ 2 ลักษณะที่มีความสัมพันธ์กันอยู่คือ 1. ในฐานะที่เป็นกิจกรรม (Activities) หรือการปฏิบัติ (Practice) 2. ในฐานะที่เป็นศาสตร์ (Science) หรือ วิชา (Subject). 1. ในฐานะที่เป็นกิจกรรมหรือการปฏิบัติ.

paul2
Télécharger la présentation

บทที่ 1

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. บทที่ 1 Public Administration

  2. 1.Public Administration • จะมีความหมายอยู่ 2 ลักษณะที่มีความสัมพันธ์กันอยู่คือ 1. ในฐานะที่เป็นกิจกรรม (Activities) หรือการปฏิบัติ (Practice) 2. ในฐานะที่เป็นศาสตร์ (Science) หรือ วิชา (Subject)

  3. 1. ในฐานะที่เป็นกิจกรรมหรือการปฏิบัติ • เรียกว่า การบริหารภาครัฐหรือการบริหารรัฐกิจ เป็นสิ่งที่มีอยู่ในโลกที่เป็นจริง (Real World) ในองค์การของท้องถิ่นหรือประเทศต่าง ๆ • ในลักษณะนี้จะมีลักษณะเป็น กระบวนการ (Process) แล้วสรุปขึ้นมาเป็นความรู้ความจริง ของศาสตร์หรือวิชาต่างๆ(ดูรูปที่ 1-1)

  4. 2. ในฐานะที่เป็นศาสตร์หรือวิชา • ในขั้นของการค้นหาความรู้ ศาสตร์หรือวิชา หรือเป็นองค์แห่งความรู้ เรียกว่า รัฐประศาสนศาสตร์ • ศาสตร์หรือวิชานั้น เป็นความรู้ที่ได้มาจากการสังเกต การศึกษาและการวิจัยจากกิจกรรมหรือการปฏิบัติที่มีอยู่ในโลกที่แท้จริง (real world)

  5. แล้วสรุปขึ้นมาเป็นความรู้ความจริงของศาสตร์หรือวิชาต่าง ๆ ความรู้ความจริงที่อาจจะเป็นในรูปของทฤษฎี (Theory) หรือไม่ใช่ทฤษฎีก็ได้ (ดูรูปที่ 1-2)

  6. ในขั้นของการนำเอาความรู้ไปใช้ประโยชน์ในขั้นของการนำเอาความรู้ไปใช้ประโยชน์ • ความรู้จากศาสตร์หรือวิชาที่จะนำเอาไปปรับใช้เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนา หน่วยงานองค์การ หรือสังคมให้เหมาะสมกับ สถานที่ บุคคล และเวลา (หรือรวมเรียกว่า สถานการณ์ ก็ได้)

  7. การนำเอาความรู้ไปปรับใช้ดังกล่าวเรียกว่าเป็น ศิลปะ (Art) ของการปรับใช้ความรู้ เมื่อนำเอาความรู้มาปรับใช้ประโยชน์ผู้ใช้ความรู้ก็นำเอาไปสรุปเป็นความรู้ใหม่ (ดูรูปที่ 1-2)

  8. ขั้นการหาความรู้ความจริงขั้นการหาความรู้ความจริง ศาสตร์ ทฤษฎี เป็นกรอบในการ - สังเกต - ศึกษา - วิจัย สรุป กิจกรรม รูปที่ 1-1แสดงความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรม  ศาสตร์ และทฤษฎีใน ขั้นของการหาความรู้ความจริง

  9. ขั้นการหาความรู้ความจริงขั้นการหาความรู้ความจริง ทฤษฎี ศาสตร์ นำเอาใช้ประโยชน์ - แก้ปัญหา - พัฒนาองค์กรหรือสังคม สรุป กิจกรรม รูปที่   1-2  แสดงความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมกับศาสตร์  และทฤษฎีในขั้นของการนำเอาความรู้ไปใช้ประโยชน์

  10. ตามปกติการหาความรู้ในรูปที่ 1-1 นั้น เป็นหน้าที่ของนักวิชาการ (Academic) เช่นผู้สอนและผู้วิจัยในสถาบันอุดมศึกษาจะเรียกว่า นักรัฐประศาสนศาสตร์ (Public Administrationist)

  11. -ส่วนการนำเอาความรู้ไปใช้ประโยชน์จะเป็นหน้าที่ของ นักปฏิบัติ(Practitioner) เช่น - นักบริหาร (Public Administrator) - นักการเมือง(Politician) - ผู้ปฏิบัติงานในองค์การ ฯลฯ

  12. การนำเอาความรู้มาใช้ประโยชน์จะประสบความสำเร็จได้นั้นความรู้จากศาสตร์หรือทฤษฎีจะต้องถูกต้องตรงกับความจริง ของโลกที่เป็นจริง

  13. 2. public administration ตามที่กล่าวมาแล้วว่า public administration จะแปลว่า “การบริหารสาธารณะ” แต่ในตำราเล่มนี้ จะใช้คำว่า “การบริหารภาครัฐ” หรือ “การบริหารรัฐกิจ”แทน ดังเหตุผลที่กล่าวไปแล้ว

  14. 3. การบริหารภาครัฐ • จะมีความหมายในลักษณะที่ เป็นกิจกรรม (Activities) หรือการปฏิบัติ (Practice) ที่มีอยู่ในสถาบันหรือหน่วยงานรัฐทุกระดับ ทั้ง • การบริหารราชการส่วนกลาง (Central Government Administration)

  15. ส่วนภูมิภาค (Regional Government Administration) และ • ส่วนท้องถิ่น(Local Administration or Local Government Administration) • รวมทั้งมีอยู่ในสถาบันนิติบัญญัติ • และสถาบันตุลาการหรือศาล • รวมถึงองค์การอิสระต่างด้วย

  16. 4. นักปฏิบัติ(Practitioners) ซึ่งก็คือ ผู้บริหารภาครัฐ (Public Administrators) • จะเป็นผู้ดำเนินการปฏิบัติอยู่ในองค์การต่าง ๆ

  17. ส่วนนักวิชาการ (Academic) • ผู้ทำหน้าที่ศึกษาหรือวิจัยเพื่อหาความจริงในสถาบันต่างๆ • หรือผู้สอนในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ จะเรียกว่า นักรัฐประศาสนศาสตร์ (Public Administrationist)

  18. ซึ่งทั้ง 2 กลุ่ม จะมีบทบาทต่าง ๆ กัน แต่จะร่วมมือกันเพื่อให้มีวิชาความรู้ที่ถูกต้อง ให้นักบริหารภาครัฐ นำเอาความรู้มาบริหารองค์การภาครัฐให้มีความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป (โปรดดูรูป 1–1 และรูป 1–2 ประกอบ)

  19. นักวิชาการ (Academic) คู่กับนักปฏิบัติ (Practitioner) • นักรัฐประศาสนศาสตร์(Public Administrationist) คู่กับ นักบริหาร (Public Administrator)  • นักรัฐศาสตร์(Political Scientist)คู่กับนักการเมือง (Politician) • นักวิจัย(Researcher) นักวิเคราะห์ (Analyzer) ก็เป็นนักวิชาการ (Academic) ด้วย

  20. 5. รัฐ (State) • รัฐเป็นหน่วยทางการเมือง การปกครอง การบริหาร และทางสังคม ที่มีความสำคัญของมนุษย์ในปัจจุบัน • รัฐในปัจจุบันมีจุดเริ่มต้นในราวศตวรรษที่ 16 และบางที่เรียกว่า เป็น รัฐสมัยใหม่ (Modern State) ซึ่งมีวิวัฒนาการมานานจนถึงปัจจุบัน

  21. 6. ส่วนประกอบของรัฐ (Components of State) • รัฐ ประกอบไปด้วย • ประชาชน (People) • ดินแดนหรือเขตแดน (Territory) • รัฐบาล (Government) • และอำนาจอธิปไตย (Sovereignty)

  22. 7. รัฐบาล • ในความหมายนี้ จะแบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย ทำหน้าที่ต่างกัน ได้แก่ • ฝ่ายบริหาร • ฝ่ายตุลาการ • และฝ่ายนิติบัญญัติ

  23. 7.1 ฝ่ายบริหาร (Executive Branch or Executive) มีหน้าที่ดำเนินการกิจการของรัฐด้านต่าง ๆ • ฝ่ายบริหาร แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ • ฝ่ายการเมือง • และฝ่ายข้าราชการประจำ

  24. 7.1.1 ฝ่ายการเมือง (Political Division) • อาจจะได้มาโดยการรัฐประหาร ปฏิวัติ หรือการเลือกตั้งแล้วแต่ละรัฐ • ในประเทศไทยของเรายึดรูปแบบการเมืองการปกครองในระบบรัฐสภา (Parliamentary System) แบบอังกฤษ

  25. นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารจะมาจากการเลือกของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ซึ่งประชาชนเลือกมา) เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร • จากนั้นนายกรัฐมนตรี จะมาจัดตั้งคณะรัฐมนตรี เพื่อบริหารประเทศ

  26. ฝ่ายการเมืองจะมีหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและกำกับ ดูแลนโยบาย ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน

  27. 7.1.2 ฝ่ายประจำ (Civil Service) • จะมีปลัดกระทรวงเป็นหัวหน้าสูงสุดในกระทรวง และมีอธิบดี เป็นหัวหน้าสูงสุดในกรม • ในบางหน่วยงานระดับกรมที่จัดองค์การเป็นในรูปคณะกรรมการ จะมีเลขาธิการ เป็นหัวหน้าสูงสุด

  28. ฝ่ายประจำ จะทำหน้าที่นำนโยบายที่ฝ่ายการเมืองกำหนดไปปฏิบัติ • ในประเทศไทย มีรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ระบุแบ่งแยกหน้าที่ของฝ่ายการเมือง และฝ่ายประจำไว้อย่างชัดแจ้ง

  29. แต่ในทางปฏิบัติ การทำงานของฝ่ายการเมืองอาจเข้าไปก้าวก่ายการทำงานของข้าราชการประจำ จนทำให้มีกรณี ความขัดแย้งกันอยู่เสมอ และข้าราชการสามารถที่จะฟ้องร้องศาลยุติธรรม หรือศาลปกครองได้หากเห็นว่า ตนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากฝ่ายการเมือง

  30. ในขณะเดียวกัน ฝ่ายประจำสามารถมีอิทธิพลต่อฝ่ายการเมืองในการกำหนดนโยบายได้ ผ่านการให้ข้อมูลหรือข้อเสนอแนะ หรือคำขอร้อง หรือลักษณะพึ่งพาอาศัยกัน

  31. การแบ่งหน่วยงานขององค์การการแบ่งหน่วยงานขององค์การ การแบ่งหน่วยงานขององค์การราชการของไทย แบ่งออกเป็น • ส่วนกลาง • ส่วนภูมิภาค • และส่วนท้องถิ่น

  32. ส่วนกลาง • มีการจัดแบ่งองค์การออกเป็น • กระทรวง • กรม • หรือสำนักงานคณะกรรมการ

  33. ส่วนภูมิภาค • มีการจัดแบ่งหน่วยงานออกเป็น • จังหวัด • และอำเภอ • ส่วนการแบ่งหน่วยงานออกเป็นตำบล และหมู่บ้านเป็นไปตาม พ.ร.บ. การปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457

  34. องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นของไทยองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นของไทย • ในปัจจุบัน มีการแบ่งรูปแบบออกเป็น 5 รูปแบบ • คือ เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และพัทยา

  35. 7.2 ฝ่ายนิติบัญญัติ (Legislative Branch) • มีหน้าที่สำคัญคือ การออกกฎหมาย • ฝ่ายนิติบัญญัติของแต่และระบบการเมือง การปกครอง จะมีรูปแบบสภา แหล่งที่มา และอำนาจ หน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา แตกต่างกันออกไป

  36. 7.3 ฝ่ายตุลาการ • ฝ่ายตุลาการ (Judicial Branch) หรือศาล (Court) ทำหน้าที่ในการพิพากษาคดี • โดยตีความตามกฎหมายที่ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นผู้บัญญัติไว้ • ฝ่ายตุลาการของแต่ละประเทศจะมีแหล่งที่มาและอำนาจหน้าที่แตกต่างกันออกไป

  37. ฝ่ายตุลาการของไทย แต่งตั้งมาจาก • บุคคลที่มีความรู้ทางกฎหมาย • มีฐานะเป็นข้าราชการตุลาการ • กินเงินเดือน และมีเงินประจำตำแหน่งจากเงินงบประมาณของแผ่นดิน

  38. การจัดรูปแบบการเมืองการปกครองการจัดรูปแบบการเมืองการปกครอง • จะต้องจัดให้ทั้ง 3 ฝ่าย มีอำนาจที่ ตรวจสอบ ถ่วงดุลอำนาจกัน (Check and Balance of Power) เพื่อให้เกิดระบบการเมือง การปกครอง และการบริหารที่มีประสิทธิผล และประสิทธิภาพสูงสุด

  39. นอกจาก 3 ฝ่ายแล้ว ยังมีองค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบและคานอำนาจของทั้ง 3 ฝ่าย เช่น ปปช., สตง., คณะกรรมการ สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , ผู้ตรวจการรัฐสภา เพื่อคาดหวังว่า จะมาช่วยตรวจสอบและคานอำนาจของสถาบัน 3 ฝ่าย เพื่อให้การทำงานเกิดผลดังความมุ่งหมาย

  40. 8. การแบ่งส่วนการบริหาร จะเห็นว่าในทางวิชาการ รัฐบาล (Government) หมายถึง 3 ฝ่าย คือ - ฝ่ายบริหาร - ฝ่ายนิติบัญญัติ - และฝ่ายตุลาการ - และรวมถึงองค์การอิสระต่าง ๆ

  41. แต่โดยที่ ในทางปฏิบัติ รัฐบาลในส่วนที่เป็นฝ่ายบริหารมีอำนาจมาก มีทั้งกำลังคน (คือ ทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือน) งบประมาณ สามารถดำเนินภารกิจต่าง ๆ ได้

  42. ดังนั้น คนทั่วไปหรือนักวิชาการบางส่วน ซึ่งใช้คำว่า รัฐบาล (Government) ในความหมายถึงฝ่ายบริหาร (Executive Branch) เท่านั้น

  43. 9.คำว่า “รัฐ” (State) เป็นคำทางวิชาการ • ส่วนอีกคำหนึ่งที่มีความหมายคล้ายกัน คือ ประเทศ (Country) ซึ่งเป็นคำที่คนทั่วไปใช้อยู่ • ส่วนอีกคำหนึ่งคือ ชาติ (Nation) มีนักวิชาการบางท่านใช้คำนี้ในความหมายที่คล้ายกันกับรัฐ เช่น Michael G. Roskin และคณะ แต่บางท่านใช้ในความหมายที่แตกต่างออกไปว่า

  44. 10. รูปของรัฐ (Form of State) แบ่งออกเป็น • รัฐเดี่ยว (Unitary State) • กับสหพันธรัฐหรือสหรัฐ (Federal Unions)

  45. 11. ประเภทของรัฐบาล (Types of Government) • Aristotle นักปรัชญาที่มีชื่อเสียงชาวกรีก • ได้จำแนกประเภทของรัฐบาล เมื่อ 400 ปีก่อนคริสตกาล (400 B.C.) และเป็นที่ยอมรับกันอย่างมาก ออกเป็น 6 ประเภท ดังตาราง 1-1

  46. ตาราง 1-1 แสดงการจำแนกประเภทของรัฐบาล ของ Aristotle

  47. David Apter ได้แบ่งชนิดของรัฐบาลออกเป็น 6 ชนิด ดังตาราง 1-2 ตาราง 1-2 แสดงชนิดของรัฐบาลในรัฐ (ประเทศ) ต่างๆ (บางทีเรียกว่าระบอบการปกครอง (Regimes) หรือระบบการเมือง(Political System)ชนิดต่างๆ )

  48. จากตาราง 1-2 Apter ได้แบ่งรูปแบบของรัฐ หรือชนิดของรัฐบาลตามการใช้อำนาจของรัฐ จากมากสุดเป็นน้อยที่สุด ตามลำดับ (Continuum) • ด้านซ้ายมือสุดเป็นระบบการปกครองแบบเบ็ดเสร็จ (Totalitarian)

  49. ด้านขวามือสุด เป็นการปกครองแบบพหุลักษณะ (Pluralistic Society) ในรูปแบบประชาธิปไตย • ส่วนที่อยู่ตรงกลางระหว่างรูปแบบทั้งสองเรียกว่า แบบอำนาจนิยม (Authoritarian)

  50. ในรูปแบบประชาธิปไตย ยังแบ่งออกเป็น 1. ระบบประธานาธิบดี (Presidential System)ในสมาพันธรัฐหรือสหรัฐ เช่น สหรัฐอเมริกา เป็นต้น 2. ระบบประธานาธิบดี ในรัฐเดียวเช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน เป็นต้น

More Related