1 / 113

บทที่ 2

รายวิชาเศรษฐศาสตร์แรงงาน. บทที่ 2. อุปทานแรงงาน (Supply of Labor). โดย อ.มานิตย์ ผิวขาว สายวิชาเศรษฐศาสตร์ วิทยาเขตหนองคาย มหาวิทยาลัยขอนแก่น. บทที่ 2 อุปทานแรงงาน 2.1 ความหมายของอุปทานแรงงาน 2.2 ทฤษฎีอุปทานแรงงานระยะสั้น 2.3 ทฤษฎีอุปทานแรงงานระยะยาว

briana
Télécharger la présentation

บทที่ 2

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. รายวิชาเศรษฐศาสตร์แรงงานรายวิชาเศรษฐศาสตร์แรงงาน บทที่ 2 อุปทานแรงงาน (Supply of Labor) โดย อ.มานิตย์ ผิวขาว สายวิชาเศรษฐศาสตร์ วิทยาเขตหนองคาย มหาวิทยาลัยขอนแก่น

  2. บทที่ 2 อุปทานแรงงาน 2.1 ความหมายของอุปทานแรงงาน 2.2 ทฤษฎีอุปทานแรงงานระยะสั้น 2.3 ทฤษฎีอุปทานแรงงานระยะยาว 2.4 กำลังแรงงาน 2.5 ปัจจัยกำหนดขนาดของอุปทานแรงงาน 2.6 การปรับตัวของอุปทานแรงงาน 2.7 โครงสร้างและคุณภาพแรงงาน 2.8 ตัวอย่างผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

  3. ความหมายของอุปทานแรงงานความหมายของอุปทานแรงงาน

  4. 2.1 ความหมายของอุปทานแรงงาน • ความหมาย -อุปทานแรงงาน หมายถึง ปริมาณของแรงงานที่มีผู้เสนอขายแรงงานหรือลูกจ้างเสนอขายแรงงานในตลาดแรงงาน ณ ระดับค่าจ้างต่าง ๆ กัน ในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง -อุปทานแรงงาน หมายถึง จำนวนแรงงานที่ประสงค์และพร้อมจะทำงาน ณ ระดับค่าจ้างอัตราใดอัตราหนึ่ง ในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจวัดเป็นจำนวนชั่วโมงต่อวัน ต่อสัปดาห์ หรือเป็นจำนวนบุคคลผู้ร่วมในกำลังแรงงานในระยะนั้น

  5. วิธีการศึกษาอุปทานแรงงาน 2วิธี 1)การศึกษาอุปทานแรงงานแบบอรรถประโยชน์วิธี (Utility Approach) -เป็นวิธีการศึกษาที่ถือหลักว่า อรรถประโยชน์หรือความพอใจของแรงงานนั้นมีค่าขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องใกล้ชิด เช่น ระดับรายได้ อัตราค่าจ้าง และรสนิยมของคนงาน -พฤติกรรมของแรงงานจะเหมือนกับพฤติกรรมของผู้บริโภค -จำนวนคนงานจะวัดเป็นจำนวนคนต่อชั่วโมง ต่อวัน ต่อสัปดาห์ หรือต่อเดือน

  6. ประชากร กำลังแรงงาน ไม่อยู่ในกำลังแรงงาน มีงานทำ ว่างงาน รอฤดูกาล 2) การศึกษาอุปทานแรงงานแบบกำลังแรงงานวิธี (Labor Force Approach) -เป็นการศึกษาที่ถือเอาจำนวนบุคคลที่เข้าร่วมในกำลังแรงงานในสัปดาห์แห่งการสำรวจเป็นเกณฑ์นับอุปทานแรงงาน โดยไม่คำนึงว่าขณะนั้นบุคคลเหล่านี้มีงานทำอยู่แล้ว หรือกำลังหางานทำเพราะว่างงาน หรือหยุดหางานทำเป็นการชั่วคราวเพราะป่วย -มีหน่วยนับเป็นคน

  7. ทฤษฎีอุปทานแรงงานระยะสั้นทฤษฎีอุปทานแรงงานระยะสั้น

  8. 2.2 ทฤษฎีอุปทานแรงงานระยะสั้น • ระยะสั้น หมายถึง ระยะเวลาที่ไม่สามารถปรับปรุงแรงงาน คนงานไม่สามารถเปลี่ยนแปลงงานใหม่ คุณภาพ ความชำนาญ ที่อยู่ อาชีพ และอื่น ๆ คงที่ ให้เฉพาะค่าจ้างที่เปลี่ยนแปลง • การพิจารณาหลักอรรถประโยชน์ สิ่งที่คนงานมีความต้องการ (Commodities) มี 2 อย่าง (1) รายได้ (Real Income) ค่าจ้างหรือผลตอบแทนจากการทำงาน (2) เวลาพักผ่อน (Leisure Time)

  9. รายได้ (บาท) a b A c B U2 C U1 0 L M N เวลาว่าง Iso-utility curve

  10. คนงานแต่ละคนมีเวลาจำกัดในวันหนึ่ง ๆ สำหรับทำงาน เพื่อได้มาซึ่งค่าจ้าง หรือไปใช้ในการพักผ่อน ขอบเขตหรือโอกาสสูงสุดที่เขาจะทำได้ เรียก เส้นงบประมาณ (Budget Constraint Line) รายได้(บาท) โอกาสในการบริโภค 192=B เส้นงบประมาณ (Budget Constraint) เวลาว่าง 24 ชั่วโมง/วัน 0 H พักผ่อน ทำงาน Wต่อชั่วโมง=?

  11. ดุลยภาพชั่วโมงทำงาน สมมติฐาน 1)เวลาทำงานมีจำกัด 1 วัน มี 24 ชั่วโมง 2)ทราบอัตราค่าจ้างในระยะเวลาหนึ่ง W = 5บาท/ชั่วโมง 3)ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ รายได้ต่อวัน(บาท) ดุลยภาพ เส้นความพอใจที่สูงสุดเท่ากันสัมผัสเส้นงบประมาณ 120=B 95 S T 40 U2 V 15 U1 0 24 5 16 21 H การพักผ่อน 24 ชั่วโมง/วัน

  12. ผู้ชอบทำงาน B U2 U1 U1 U2U3 ผู้ไม่ชอบทำงาน • ดุลยภาพชั่วโมงทำงานของผู้ชอบทำงาน(Work Love’s) และผู้ไม่ชอบการทำงาน(Work Hater’s) รายได้(บาท) 180 a 175 b 130 d 40 เวลาว่าง 24 ชั่วโมง/วัน c 16/8 17/7 0 H 3/21 15/9

  13. ผลการเปลี่ยนแปลงค่าจ้างต่อเส้นงบประมาณผลการเปลี่ยนแปลงค่าจ้างต่อเส้นงบประมาณ รายได้(บาท) A B (W ) C (W ) เวลาว่าง 24 ชั่วโมง/วัน 0 H เส้นงบประมาณ HB, อัตราค่าจ้าง OB/OH เส้นงบประมาณ HA, อัตราค่าจ้าง OA/OH เส้นงบประมาณ HC, อัตราค่าจ้าง OC/OH

  14. รายได้(บาท) อัตราค่าจ้าง C 7x24=168 7 T2/ B 5x24=120 5 T1/ T2 70 A 2x24=48 T0/ U3 2 T1 40 U2 T0 U1 14 16 0 H 0 8 10 • ลักษณะของเส้นอุปทานแรงงานระยะสั้นความชันเป็นบวก S ชั่วโมงทำงาน

  15. กรณีเส้นอุปทานแรงงานมีความชันเป็นลบ(Negative Slope) -พวกที่มีรายได้สูงอยู่แล้ว(รายได้เพิ่มขึ้นจะพักผ่อนมากขึ้น) พวกไม่ชอบทำงาน พอใจในการพักผ่อนมากกว่ารายได้(เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้พอยังชีพ จะลดชั่วโมงทำงานลง) รายได้ (บาท) อัตราค่าจ้าง B 7x24=168 T2/ 7 A T1/ 5 T2 49 T1 U2 40 S U1 เวลาว่าง 5x24=120 0 16 17 24 7 8 ชั่วโมงทำงาน

  16. ทฤษฎีอุปทานแรงงานระยะยาวทฤษฎีอุปทานแรงงานระยะยาว

  17. 2.3 ทฤษฎีอุปทานแรงงานระยะยาว • แนวคิดของคลาสสิก -ในระยะยาวมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ได้ เช่น การฝึกอบรมฝีมือแรงงาน การเพิ่มของจำนวนประชากร การเคลื่อนย้ายแรงงาน เป็นต้น -ความต้องการแรงงานไม่จำเป็นต้องดึงดูดใจโดยการเพิ่มค่าจ้างให้สูงขึ้น เพราะการขยายตัวของอุปทานแรงงานจะสนองตอบต่อการเพิ่มค่าจ้างอย่างราบรื่น -อุปทานแรงงานระยะยาวมีความยืดหยุ่นอย่างสมบูรณ์ เพราะแรงงานปรับตัวเข้าสู่ระดับพอยังชีพได้ ระดับค่าจ้างเป็นระดับพอยังชีพได้ -ถ้าค่าจ้างสูงกว่าระดับพอยังชีพ อัตราการเกิดจะสูง ประชากรจะเพิ่มขึ้น ทำให้การเสนอขายแรงงานมีมากขึ้น ค่าจ้างปรับตัวมาอยู่ระดับพอยังชีพ ส่วนกรณีค่าจ้างสูงกว่าระดับพอยังชีพจะปรับตัวตรงข้าม

  18. อัตราค่าจ้าง (W) ระดับพอยังชีพ W 0 ปริมาณแรงงาน อุปทานแรงงานระยะยาวของระบบเศรษฐกิจของคลาสสิก

  19. ทฤษฎีทุนมนุษย์ (Human Capital Theory) • Simon Kuznets อัตราการเพิ่มโดยเฉลี่ยของผลผลิตประชาชาติของประเทศตะวันตกในระยะหลัง ๆ มีอัตราสูงกว่าอัตราเพิ่มของปริมาณปัจจัยการผลิตทั้งทางด้านแรงงานและด้านทุนอย่างมาก ส่วนเกินดังกล่าวก็คือ ประสิทธิภาพรวมของปัจจัยการผลิต (total factor productivity) และได้มีการพัฒนาแนวคิดต่อมาเป็นคุณภาพของทุน และคุณภาพของแรงงานหรือทุนมนุษย์ ซึ่งจะเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี เนื่องจากผลของการศึกษาที่ได้รับ การฝึกอบรม และประสบการณ์ในการทำงาน • ผู้ที่พัฒนาแนวคิดทุนมนุษย์จนได้รับการยอมรับได้แก่ Theodore W. Schultz ที่เขียนบทความ การลงทุนในทุนมนุษย์(Investment in Human Capital), Gary S. Becker ที่เขียนหนังสือ ทุนมนุษย์ (Human Capital)

  20. การวัดทุนมนุษย์ • วิธีที่นิยมใช้กันแพร่หลายมี 2 วิธี 1)วัดจากปริมาณการเปลี่ยนแปลงของการศึกษาซึ่งแฝงอยู่ในกำลังแรงงาน โดยสมมติให้มูลค่าของการศึกษาและฝึกอบรม เท่ากับ ต้นทุนที่เสียไปเพื่อการนี้ ดังนั้น ทุนมนุษย์จะเท่ากับรายจ่ายที่เกิดขึ้นเพื่อกิจกรรมนี้ ถ้าร่ายจ่ายดังกล่าวเพิ่ม ทุนมนุษย์ก็เพิ่ม 2)วัดจากการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างอาชีพของกำลังแรงงาน ดูว่าสัดส่วนของแรงงานแต่ละกลุ่มอาชีพมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ซึ่งให้ตามระดับทักษะแรงงาน ถ้ากลุ่มอาชีพใช้ทักษะสูงเพิ่ม ทุนมนุษย์ก็เพิ่ม

  21. การลงทุนในทุนมนุษย์ • กิจกรรมหรือพฤติกรรมที่จัดว่าเป็นการลงทุนในทุนมนุษย์ ได้แก่ 1)การศึกษาในระบบทุกระดับ 2)การฝึกอบรมในสถานที่ทำงาน 3)การปรับปรุงสุขภาพอนามัย 4)การจัดสรรเวลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรของครอบครัว 5)การแสวงหางานของแรงงาน 6)การโยกย้ายถิ่นของแรงงาน (คำถาม ทำไมกิจกรรมหรือพฤติกรรมดังกล่าวข้างต้นจึงถือว่าเป็นการลงทุนในทุนมนุษย์)

  22. การตัดสินใจลงทุนเพื่อสร้างทุนมนุษย์การตัดสินใจลงทุนเพื่อสร้างทุนมนุษย์ • การตัดสินใจว่าจะลงทุนในการสร้างทุนมนุษย์จำนวนเท่าใดหรือประเภทใดนั้น บุคคลหรือผู้บริโภคจะเป็นหน่วยที่ทำการตัดสินใจ โดยมีวัตถุประสงค์คือต้องการให้ผลตอบแทนสุทธิ(net benefit) จากการลงทุนมีมากที่สุด • การลงทุนเพื่อสร้างทุนมนุษย์ มีทั้งต้นทุน(costs) และผลประโยชน์(benefits) • ต้นทุน (Costs) ประกอบด้วย 1)ต้นทุนทางตรง (Direct costs) เป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเป็นตัวเงิน เช่น ค่าเรียนหนังสือ ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ เป็นต้น 2)ต้นทุนทางอ้อม (Indirect costs) เป็นค่าเสียโอกาสในการทำงานในระหว่างที่ใช้เวลากับการเรียน คำนวณจากค่าจ้างที่ไม่ได้ระหว่างเรียน

  23. ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต(Benefits) ประกอบด้วย 1)ผลประโยชน์ทางตรง (Direct benefits) เป็นผลตอบแทนในรูปตัวเงิน เช่น ค่าจ้าง โบนัส ค่าล้วงเวลา เป็นต้น 2)ผลประโยชน์ทางอ้อม (Indirect benefits) ผลตอบแทนที่ไม่ใช่ตัวเงิน เช่น ชื่อเสียง คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การประหยัดรายจ่ายซื้อยา เป็นต้น • เกณฑ์ที่นิยมใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนในทุนมนุษย์ มี 2 เกณฑ์(วิธี) คือ การหามูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value : NPV) และ การหาอัตราผลตอบแทนภายในของโรงการ (Internal Rate of Return : IRR) • การหามูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value : NPV) 1) หาโดยการนำเอามูลค่าของผลประโยชน์ในแต่ละปี หัก ด้วยมูลค่าของต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายในปีเดียวกันนั้น แล้วนำค่าสุทธิที่ได้ในแต่ละปีมาหาค่าปัจจุบันนั่นคือ

  24. หรือ เมื่อ Bt คือ ผลประโยชน์สุทธิในปีที่ t ซึ่งอาจเป็น บวก หรือ ลบ ก็ได้ 2) หาได้จากการหาผลรวมของค่าปัจจุบันของผลประโยชน์ และผลรวมของค่าปัจจุบันของต้นทุน แล้วนำผลรวมทั้งสองมาหักลบกัน หรือ เราจะตัดสินใจลงทุนในโครงการเมื่อ ค่า NPV มากกกว่า 0 (หรือก็คือ มูลค่าของผลตอบแทนเมื่อคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันแล้วมีค่ามากกว่ามูลค่าของต้นทุนของโครงการ) • การหาอัตราผลตอบแทนภายในของโรงการ (Internal Rate of Return : IRR) อัตราผลตอบแทนของโครงการ คือ อัตราผลตอบแทนหรืออัตราส่วนลดที่ทำให้ค่าปัจจุบันของผลตอบแทนเท่ากับค่าปัจจุบันของต้นทุน

  25. ของโครงการ หรืออัตราส่วนลดที่ทำให้มูลค่าของผลประโยชน์สุทธิของโครงการเท่ากับศูนย์ ดังนั้น จึงเป็นอัตราผลตอบแทนที่ทำให้โครงการนั้นคุ้มทุนพอดีนั่นเอง หาได้จากสูตร IRR คือ ค่า r ที่ทำให้ วิธีหา IRR โดยปกติจะเป็นการลองผิดลองถูก (trial an d error) เราจะหาจนกว่าจะได้ค่า r ที่ทำให้ = เมื่อ คือ discount factor ตัวต่ำ (อัตราคิดลดตัวที่ต่ำกว่า) คือ discount factor ตัวสูง(อัตราคิดลดตัวที่สูงกว่า) คือ NPV ตัวต่ำ คือ NPV ตัวสูง

  26. การศึกษาในฐานะเป็นการลงทุนในทุนมนุษย์การศึกษาในฐานะเป็นการลงทุนในทุนมนุษย์ • ถือเป็นการลงทุนในทุนมนุษย์ที่ชัดเจนที่สุด เป็นการสร้างทักษะต่าง ๆ แก่บุคคล ทำให้ผลิตภาพของคนสูงขึ้น • การศึกษาต้องใช้เงินทุนค่อนข้างมาก ดังนั้นต้องประเมินว่าผลตอบแทนคุ้มพอกับต้นทุนหรือไม่ • ต้นทุน(Costs) ในการลงทุนทางการศึกษา 1)ต้นทุนทางตรง เช่น ค่าเล่าเรียน ค่าหนังสือ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ต้นทุนทางจิตใจ(psychic cost)ของการไม่ชอบเรียน 2)ต้นทุนทางอ้อม เป็นต้นทุนค่าเสียโอกาสที่สูญเสียรายได้ระหว่างเรียน • ผลตอบแทน(Benefits)ของการศึกษา เช่น รายได้ตลอดช่วงอายุ(lifetime earning)หลังจากจบการศึกษา สุขภาพอนามัย จิตใจ ความสุข ความสามารถผลิตเพิ่มขึ้น อาชญากรรมลดลง พัฒนาการเมือง เป็นต้น

  27. ในทางเศรษฐศาสตร์จะเปรียบเทียบกับการลงทุนในรูปแบบอื่น เช่น ดอกเบี้ยจากเงินฝากในท้องตลาด เงินปันผลจากการถือหุ้นหรือพันธบัตรต่าง ๆ โดยถ้าผลตอบแทนทางการศึกษาสูงกว่าผลตอบแทนในรูปแบบอื่น ๆ การลงทุนทางการศึกษาก็ถือว่าคุ้มและสมควรที่จะลงทุน การฝึกอบรมฝีมือจากการทำงาน (On-the-job-training)ในฐานะเป็นการลงทุนในทุนมนุษย์ • การฝึกอบรม เป็นการเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่เกิดขึ้นในตลาดแรงงาน • ประเภทของการฝึกอบรม 2 ประเภท 1)การฝึกอบรมแบบทั่วไป(General On-the-job-training) เป็นการฝึกอบรมซึ่งฝีมือที่ได้รับสามารถนำไปใช้ในการทำงานในหน่วยธุรกิจอื่น ๆ ได้ด้วย 2)การฝึกอบรมแบบเฉพาะเจาะจง (Specific On-the-job-training) เป็น

  28. การฝึกอบรมที่ฝีมือที่ได้รับไม่สามารถนำไปใช้ในการทำงานในหน่วยธุรกิจอื่น ๆ ได้(นอกจากที่ทำงานเดิม)การฝึกอบรมแบบนี้จะทำให้ผลิตภาพเพิ่มของแรงงานที่ได้รับการฝึกเพิ่มขึ้นในอนาคตมากกว่าถ้าแรงงานยังคงทำงานอยู่กับหน่วยธุรกิจที่ให้การฝึกอบรม แต่ผลิตภาพจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหรือไม่เพิ่มขึ้นเลยถ้าหากคนงานย้ายไปทำงานที่อื่น • ต้นทุนและผลตอบแทนของการฝึกอบรมฝีมือ 1) ต้นทุนและผลตอบแทนของการฝึกอบรมแบบทั่วไป 2) ต้นทุนและผลตอบแทนของการฝึกอบรมแบบเฉพาะเจาะจง 2.1)นายจ้างเป็นฝ่ายรับทั้งต้นทุนและผลตอบแทน 2.2)ทั้งนายจ้างและคนงานร่วมกัน(แบ่งกัน)รับต้นทุนและผลตอบแทน

  29. อัตราค่าจ้าง,MPLL b d Wg ผลตอบแทน e W0 f ต้นทุน a Wu เวลา 0 T* T 1)การฝึกอบรมแบบทั่วไป เส้นทางของค่าจ้าง(Wage Path), MRPL • คนงานได้ประโยชน์เต็มที่ หน่วยธุรกิจไม่ได้หากคนงานไปทำงานที่อื่น • W0คือ ค่าจ้างที่คนงานแรกเริ่มควรได้รับ , Wuคือ ค่าจ้างช่วงฝึกอบรม , Wgคือ ค่าจ้างหลังฝึกอบรม , 0T*ช่วงเวลาการฝึก , Wuabd เส้นแนวทางค่าจ้างและMPLL, ต้นทุนการฝึกอบรม WuaeW0, ผลตอบแทนจากการฝึกอบรม ebdf

  30. 2.1)การฝึกอบรมแบบเฉพาะเจาะจง2.1)การฝึกอบรมแบบเฉพาะเจาะจง อัตราค่าจ้าง,MPLL b d MRPL Ws ผลตอบแทน e W0 f Wage Path ต้นทุน Wu a เวลา 0 T* T • หน่วยธุรกิจรับต้นทุนและผลตอบแทน • W0f คือ เส้นแนวทางค่าจ้าง, W0คือ ค่าจ้างช่วงฝึกอบรม-หลังฝึกอบรม , 0T*ช่วงเวลาการฝึก , Wuabd เส้น MPLL, ต้นทุนการฝึกอบรม นายจ้าง Wu aeW0, ผลตอบแทนจากการฝึกอบรมนายจ้าง ebdf • การรักษาคนงานไม่ให้ลาออกโดยการทำสัญญาจ้าง หรือไม่ก็จ่ายค่าจ้างตามMPLL

  31. อัตราค่าจ้าง,MPLL Ws/ b d MRPL Ws g h Wage Path ผลตอบแทน e W0 f j ต้นทุน Wu a Wu/ เวลา 2.2)การฝึกอบรมแบบเฉพาะเจาะจง 0 T* T • คนงานและหน่วยธุรกิจร่วมกับรับต้นทุนและผลตอบแทน • Wujgh คือ เส้นแนวทางค่าจ้าง, Wuคือ ค่าจ้างช่วงฝึกอบรม , Wsคือ ค่าจ้างหลังฝึกอบรม , 0T*ช่วงเวลาการฝึก , Wu/abd เส้น MPLL, ต้นทุนการฝึกอบรม คนงานWujeW0, ต้นทุนการฝึกอบรม นายจ้างWu/ajWu, ผลตอบแทนจากการฝึกอบรมคนงาน eghf , ผลตอบแทนจากการฝึกอบรมนายจ้าง gbdh

  32. กำลังแรงงาน (labor Force)

  33. 2.4 กำลังแรงงาน (labor Force) • ความหมาย -กำลังแรงงาน หมายถึง จำนวนประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ทั้งที่เป็นผู้ที่มีงานทำและผู้ไม่มีงานทำ แต่ประสงค์จะทำงานและสามารถทำงานได้ -หมายถึง บุคคลผู้ซึ่งอยู่ในวัยทำงาน พร้อมที่จะทำงาน และเต็มใจที่จะทำงาน ณ ระดับอัตราค่าจ้างที่เป็นอยู่ขณะนั้น โดยไม่คำนึงว่าขณะนั้นเป็นผู้มีงานทำ กำลังทำงานหรือแสวงหางานทำเพราะว่างงานหรือหยุดงานชั่วคราวเพราะป่วย -หมายเหตุ แต่ละประเทศกำหนดอายุของกำลังแรงงานที่แตกต่างกัน กรณีของประเทศไทยก็มีการกำหนดที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา จาก 11 ปี เป็น 13 ปี และเป็น 15 ปีในที่สุด

  34. ขนาดของกำลังแรงงาน จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ 1)ขนาดของประชากร ถ้าประชากรมาก กำลังแรงงานก็มาก 2)สัดส่วนของประชากร ถ้าประชากรในวัยทำงานสูงกว่า กำลังแรงงานจะมากกว่า 3)จำนวนบุคคลที่พร้อมและเต็มใจจะทำงาน ถ้ามาก กำลังแรงงานก็มาก • ผู้ไม่อยู่ในกำลังแรงงาน 1)แม่บ้านหรือผู้ทำงานบ้าน 2)นักเรียน นิสิต นักศึกษา 3)ผู้ไม่สามารถทำงานได้เพราะชรา 4)ผู้ไม่สามารถทำงานได้เพราะพิการร่างกายหรือจิตใจ หรือป่วยเรื้อรัง 5)ผู้ไม่สมัครใจทำงาน 6)ผู้ทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง เช่น สมาชิกครอบครัว ทำงานการกุศล

  35. การวัดอัตราการเข้ามาในกำลังแรงงานการวัดอัตราการเข้ามาในกำลังแรงงาน -อัตราการเข้ามาในกำลังแรงงานทั้งหมด = -อัตราการเข้ามาสู่กำลังแรงงานสามารถจำแนกเป็นตามอายุ เพศ เขตที่อาศัย เป็นต้น -แต่ถ้าเราเปรียบเทียบผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานกับจำนวนประชากรทั้งประเทศ เราเรียกว่า “อัตรากำลังแรงงานต่อประชากร” = -ตัวอย่างตัวเลขอัตราการเข้าร่วมกำลังแรงงาน แยกตามอายุ เพศ

  36. http://www.tdri.or.th/labor/Index.htm

  37. ตัวอย่างตารางตัวเลขอัตราการเข้าร่วมกำลังแรงงาน แยกระดับการศึกษา

  38. ตัวอย่างตารางตัวเลขกำลังแรงงาน แยกอายุ

  39. ตัวอย่างตารางตัวเลขกำลังแรงงานตัวอย่างตารางตัวเลขกำลังแรงงาน

  40. ปัจจัยที่มีผลกระทบต่ออัตราการเข้าร่วมในกำลังแรงงานปัจจัยที่มีผลกระทบต่ออัตราการเข้าร่วมในกำลังแรงงาน 1)เพศ โดยทั่วไปเพศชายจะสูงกว่าเพศหญิง แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อ ค่านิยมทางสังคม ช่วงเวลาในการศึกษาเล่าเรียน โอกาสในการหางานทำ การตั้งครรภ์ของผู้หญิงและการมีลูก เหตุผลทางสรีระ 2)อายุ ช่วงต้นและปลายของกำลังแรงงานอัตราการเข้าร่วมในกำลังแรงงานจะลดลง 3)สถานภาพสมรส ผู้ชายที่แต่งงานแล้วจะเข้าร่วมในกำลังแรงงานมากกว่าคนโสด ทั้งนี้เพราะมีภาระที่จะต้องใช้จ่ายในครัวเรือน ส่วนหญิงที่แต่งงานแล้วจะเข้าร่วมในกำลังแรงงานลดลง การมีลูกทำให้การเข้าร่วมในกำลังแรงงาลดลง 4)ระดับการศึกษา ถ้ามีการศึกษาสูงการเข้าร่วมก็จะสูงตามไปด้วย 5)รายได้ของคู่สามีภรรยา ถ้าสูงขึ้น จะทำให้อัตราการเข้าร่วมในกำลังแรงงานลดลง

  41. 6)รายได้จากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่ได้จากการทำงาน เช่น รายได้จากทรัพย์สิน หุ้น ถ้ามีมากก็จะทำให้การเข้าร่วมในกำลังแรงงานลดลง 7)เขตพื้นที่อาศัย คนที่อยู่นอกเขตเทศบาลจะเข้าร่วมมากกว่า ทั้งนี้เนื่องการไม่ได้ศึกษาในขั้นที่สูงขึ้นไป และมีความจำเป็นต้องช่วยเหลือทางการเงินให้ครอบครัว

  42. ปัจจัยกำหนดขนาดของอุปทานแรงงานปัจจัยกำหนดขนาดของอุปทานแรงงาน

  43. 2.5 ปัจจัยกำหนดขนาดของอุปทานแรงงาน • ขนาดประชากร -ประชากรเพิ่ม อุปทานแรงงานเพิ่ม • การเคลื่อนย้ายแรงงานเข้ามาในประเทศ -ถ้ามีการอพยพเคลื่อนย้ายแรงงานของต่างประเทศเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น ทำให้อุปทานแรงงานเพิ่ม (แต่ต้องพิจารณาด้านชนิดหรือประเภทของอุปทานแรงงานด้วย) • การกำหนดอายุ เพศของผู้ที่จะเข้าสู่กำลังแรงงาน -ถ้ามีการกำหนดอายุของกำลังแรงงานสูงขึ้น อุปทานแรงงานจะลดลง -ถ้าเพศหญิงและชายเท่าเทียมกันในการทำงาน อุปทานแรงงานจะเพิ่มขึ้น • ชั่วโมงทำงาน

  44. -ถ้าลดจำนวนชั่วโมงทำงานต่อสัปดาห์ลง จะมีความต้องการ แรงงานเพิ่มเพื่อผลิตให้ได้ผลผลิตเท่าเดิม อุปทานแรงงานจะ เพิ่มขึ้น • คุณภาพของแรงงาน -วัดจากการศึกษา การฝึกอบรม และประสบการณ์ในการทำงาน มีผลต่อปริมาณของอุปทานแรงงานที่มีคุณภาพแตกต่างกันให้เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ • ความตั้งใจในการทำงาน -หากแรงงานมีความตั้งใจในการทำงานต่ำ จะมีปริมาณแรงงานลดลง • อัตราการเข้ามาในกำลังแรงงาน -ถ้าสัดส่วนการตัดสินใจเข้ามาสู่กำลังแรงงานของประชากรเพิ่มขึ้น จะทำให้ปริมาณแรงงานเพิ่มขึ้น เช่นกลุ่ม สตรี กลุ่มคนเลยวัยเกษียณ ตัดสินใจเข้าทำงานเพิ่มขึ้น ทำให้ปริมาณแรงงานเพิ่มขึ้น

  45. การปรับตัวของอุปทานแรงงานการปรับตัวของอุปทานแรงงาน

  46. 2.6 การปรับตัวของอุปทานแรงงาน • การปรับตัวของแรงงาน หมายถึง การปรับเปลี่ยนสะต๊อก(Stock) ของแรงงานในสาขาเศรษฐกิจหนึ่ง ๆ หรือหลาย ๆ สาขาของระบบเศรษฐกิจ การที่สะต๊อกของแรงงานสาขาหนึ่งเพิ่มขึ้นจะมีผลกระทบต่อสะต๊อกของแรงงานในสาขาเศรษฐกิจอื่นด้วย • การปรับตัวของอุปทานแรงงาน พิจารณาในด้าน 1) ชั่วโมงการทำงาน 2) การมีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน 3) ทักษะแรงงาน

  47. 1)การปรับตัวของอุปทานแรงงานพิจารณาจากชั่วโมงการทำงาน1)การปรับตัวของอุปทานแรงงานพิจารณาจากชั่วโมงการทำงาน • HS=f(Wo-,WS-,B- ,SP- ,P+ ,T- ,Pg+ ,H- ) HS คือ การปรับชั่วโมงการทำงาน Wo คือ ค่าจ้างของตนเองที่เปลี่ยนแปลงไป WSคือ ค่าจ้างของคู่สมรส B คือ รายได้อื่นที่ไม่ได้เกิดจากการทำงาน SPคือ รายรับจากรัฐบาล P คือ ค่าล่วงเวลา T คือ ค่านิยมของครอบครัวที่มีต่อกิจกรรมในครัวเรือน Pg คือ ราคาสินค้าสำหรับกิจกรรมในครัวเรือน H คือ จำนวนชั่วโมงการทำงานปกติให้นายจ้าง

  48. ข้อพิจารณาบางประการเกี่ยวกับการปรับตัวของแรงงานข้อพิจารณาบางประการเกี่ยวกับการปรับตัวของแรงงาน -ถ้าการลงทุนทางการศึกษาได้ทุนคืนทั้งหมดจะเพิ่มจำนวนชั่วโมงการทำงาน -การฝึกอบรมทำให้ทักษะเพิ่ม มีความก้าวหน้า ได้ทำงานคุณภาพสูงขึ้น ได้ค่าจ้างเพิ่มขึ้น แรงงานกลุ่มฝีมือทำงานมากชั่วโมงขึ้น ส่วนกลุ่มไร้ฝีมือทำงานน้อยลง -การเพิ่มขึ้นของทักษะ ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของความรับผิดชอบด้านเทคนิคและการบังคับบัญชา แรงงานจึงมีความพอใจทำงานมากขึ้น เพราะต้องการเลื่อนตำแหน่งและเพิ่มค่าจ้าง -การทำงานมักขัดแย้งแย่งเวลากับการศึกษาเล่าเรียน แรงงานมักเรียนช่วงอายุน้อยเพราะค่าเสียโอกาสต่ำ มีปัญหาเงินและครอบครัวมักจะเลือกทำงานมากกว่าเรียน -ต้นทุนการสืบหาข้อมูลสูง แรงงานจะเลือกทำงานที่เดิมมากกว่า

  49. ผลกระทบของการเลือกปฏิบัติของนายจ้างในตลาดแรงงาน(แม้ค่าจ้างจ่ายเท่ากัน)ต่ออุปทานแรงงานผลกระทบของการเลือกปฏิบัติของนายจ้างในตลาดแรงงาน(แม้ค่าจ้างจ่ายเท่ากัน)ต่ออุปทานแรงงาน -ทำให้แรงงานอีกกลุ่มหมดความสนใจในการทำงาน/ทำงานเฉื่อยชาลง -แรงงานอีกกลุ่มไม่เต็มใจทำงานมากชั่วโมงขึ้น/ไม่เต็มใจทำงานล่วงเวลา -แรงงานอีกกลุ่มได้งานที่เลวกว่า จึงทำให้ไม่เต็มใจทำงานที่มีคุณภาพต่ำกว่านั้น • สหภาพแรงงานกับการปรับตัวของแรงงาน โดยมีบทบาทคือ -ควบคุมอุปทานแรงงาน(ทั้งเวลาทำงานปกติและทำงานล่วงเวลา) เพื่อควบคุมค่าจ้างให้สูงขึ้น และควบคุมการจ้างงานไม่ให้ลดลง -สร้างตลาดแรงงานในสถานประกอบการให้มีต่อเนื่องพอกับความต้องการ และจำกัดเวลาทำงานล่วงเวลาของแรงงานทักษะสูง เพื่อให้นายจ้างฝึกอบรมลูกจ้างระดับล่าง

  50. สมการอุปทานแรงงานที่ยึดจากชั่วโมงการทำงานสมการอุปทานแรงงานที่ยึดจากชั่วโมงการทำงาน HS=f(SK+, D-, TU-, SC+, X) เมื่อ HS คือ การปรับชั่วโมงการทำงาน SKคือ ระดับทักษะของฝ่ายลูกจ้างแรงงาน D คือ การเลือกปฏิบัติต่อลูกจ้างแรงงานโดยฝ่ายนายจ้าง TU คือ สถานภาพของสหภาพแรงงาน SC คือ ค่าใช้จ่ายในการแสวงหาข้อมูล Xคือ ตัวแปรอิสระอื่น ๆ เช่น ค่าจ้าง เป็นต้น เพิ่มเติม P = f(SK+, D-, TU+, X) เมื่อ P คือ ค่าล่วงเวลาซึ่งขึ้นอยู่กับ ระดับทักษะของฝ่ายลูกจ้าง (SK) การเลือกปฏิบัติของนายจ้าง (D) สถานภาพของสหภาพแรงงาน (TU) และปัจจัยอื่น ๆ

More Related