1 / 32

ตลาด ความหมายและการแบ่งตลาด

ตลาด ความหมายและการแบ่งตลาด. ความหมายของตลาด. ตลาด หมายถึง การที่ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถติดต่อตกลงซื้อขายกันได้ โดยที่ผู้ซื้อและผู้ขายอาจมีโอกาสพบกันหรือไม่ก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดตลาด คือ ผู้ซื้อและผู้ขายมีความต้องการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการซึ่งกันและกัน

emma
Télécharger la présentation

ตลาด ความหมายและการแบ่งตลาด

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. ตลาดความหมายและการแบ่งตลาดตลาดความหมายและการแบ่งตลาด

  2. ความหมายของตลาด ตลาด หมายถึง การที่ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถติดต่อตกลงซื้อขายกันได้ โดยที่ผู้ซื้อและผู้ขายอาจมีโอกาสพบกันหรือไม่ก็ตาม • ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดตลาด คือ ผู้ซื้อและผู้ขายมีความต้องการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการซึ่งกันและกัน • สินค้าที่ซื้อขายกัน มีทั้งสินค้าที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ เช่น บริการการท่องเที่ยว เป็นต้น • ตลาดอาจมีขอบเขตตั้งแต่ระดับชุมชน ท้องถิ่น ประเทศ และระหว่างประเทศ

  3. การแบ่งตลาด • วัตถุประสงค์ในการใช้สินค้า • ตลาดสินค้าผู้บริโภค และตลาดสินค้าผู้ผลิต • ลักษณะของตัวสินค้า • ตลาดสินค้าเกษตรกรรม และตลาดสินค้าอุตสาหกรรม • ลักษณะการแข่งขัน • ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (perfect market) และตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ (imperfect market)

  4. 1. ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (Prefect Competition) ลักษณะของตลาด อุปสงค์ รายรับเฉลี่ย และรายรับหน่วยสุดท้าย ปริมาณการผลิตที่เหมาะสมที่สุด กำไรหรือขาดทุนของหน่วยธุรกิจ ดุลยภาพในระยะสั้นของหน่วยธุรกิจและอุตสาหกรรม ดุลยภาพในระยะยาวของหน่วยธุรกิจและอุตสาหกรรม

  5. ลักษณะของตลาดแข่งขันสมบูรณ์ลักษณะของตลาดแข่งขันสมบูรณ์ • มีผู้ซื้อและผู้ขายสินค้าจำนวนมาก • สินค้ามีลักษณะเหมือนกันทุกประการ • ผู้ซื้อและผู้ขายมีความรู้เรื่องตลาดอย่างสมบูรณ์ • สามารถเคลื่อนย้ายปัจจัยในการผลิต และสินค้าเข้าออกจากตลาดได้โดยเสรี

  6. อุปสงค์ของหน่วยธุรกิจอุปสงค์ของหน่วยธุรกิจ • ลักษณะเส้นอุปสงค์ หรือเส้นราคาจะเป็นเส้นที่ขนานกับแกนนอนและมีความยืดหยุ่นอย่างสมบูรณ์ อุปสงค์ของหน่วยธุรกิจ อุปสงค์และอุปทานของตลาด P P S P* D=AR=MR P* D Q Q Q*

  7. รายรับเฉลี่ย (Average Revenue : AR) • รายรับเฉลี่ย หมายถึง รายรับต่อหน่วยที่ผู้ขายได้รับจากการขายสินค้า แต่ละหน่วย • รายรับเฉลี่ย เท่ากับ รายรับทั้งหมดหารด้วยจำนวนสินค้าที่ขายได้ AR = TR/Q AR = (P x Q)/Q AR= P • เส้นรายรับเฉลี่ยเป็นเส้นเดียวกับเส้นอุปสงค์ของหน่วยธุรกิจ

  8. รายรับหน่วยสุดท้าย (Marginal Revenue : MR) • รายรับหน่วยสุดท้าย หมายถึง รายรับทั้งหมดที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อหน่วยธุรกิจเปลี่ยนแปลงปริมาณการขายสินค้าไป 1 หน่วย MR = TRn – TRn-1 MR = ΔTR/ ΔQ MR = (P x ΔQ) / ΔQ MR = P • เส้นรายรับหน่วยสุดท้ายเป็นเส้นเดียวกับเส้นรายรับเฉลี่ย และเส้นอุปสงค์ของหน่วยธุรกิจด้วย

  9. ปริมาณการผลิตที่เหมาะสมที่สุดปริมาณการผลิตที่เหมาะสมที่สุด • เป้าหมายของหน่วยธุรกิจ คือ การแสวงหากำไรสูงสุดหรือขาดทุนน้อยที่สุด โดยการปรับปริมาณการผลิตให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ • ปริมาณการผลิตดุลยภาพของหน่วยธุรกิจ(optimum output) คือ ปริมาณการผลิตที่ไม่สามารถเพิ่มกำไรได้อีก หรือกรณีขาดทุนก็เป็นปริมาณการผลิตที่ทำให้ขาดทุนน้อยที่สุด ไม่สามารถลดการขาดทุนได้อีก

  10. จุดผลิตที่เหมาะสมที่สุด พิจารณาโดยใช้ Marginal Concept • พิจารณาจากต้นทุนส่วนเพิ่มและรายรับส่วนเพิ่ม • ปริมาณการผลิตที่เหมาะสมที่สุด • MC =MR ในช่วงที่ MC กำลังเพิ่มขึ้น • กำไรสูงสุด • ปริมาณการผลิตที่น้อยกว่า Q3 : การขยายการผลิตจะทำให้มีรายรับเพิ่มขึ้น • ปริมาณการผลิตที่มากกว่า Q3 : การลดการผลิตจะทำให้ขาดทุนลดลง C&R MC C A S E P D=AR=MR R Q Q1 Q2 Q3

  11. ความแตกต่างระหว่าง TR และTC จะสามารถใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจกำหนดปริมาณผลผลิต เพื่อให้ได้กำไรสูงสุดในระยะสั้นได้  = TR – TC Slope TR = MR Slope TC = MC จากรูป  สูงสุดเมื่อ Slope TR = Slope TC MR =MC จุดผลิตที่เหมาะสมที่สุด พิจารณาโดยใช้ Total Concept TC R,C TR Q Q1 Q2 - TFC 

  12. ความแตกต่างระหว่าง TR และTC จะสามารถใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจกำหนดปริมาณผลผลิต เพื่อให้ขาดทุนต่ำสุดในระยะสั้นได้  = TR – TC Slope TR = MR Slope TC = MC จากรูปจะขาดทุนต่ำสุดเมื่อ Slope TR = Slope TC MR =MC จุดผลิตที่เหมาะสมที่สุด พิจารณาโดยใช้ Total Concept (ต่อ) R,C TC TR Q* Q - TFC 

  13. กำไรหรือขาดทุนของหน่วยธุรกิจกำไรหรือขาดทุนของหน่วยธุรกิจ • กำไรปกติ: กำไรตามเป้าหมายที่หน่วยธุรกิจกำหนดซึ่งจะไม่ต่ำกว่ากำไรที่หน่วยธุรกิจสามารถหาได้จากทางอื่น • กำไรเกินปกติ: กำไรที่เกินกว่าเป้าหมายที่หน่วยธุรกิจกำหนด • ขาดทุน: กำไรที่ต่ำกว่าเป้าหมายที่หน่วยธุรกิจกำหนด

  14. ลักษณะเส้น TC และ AC C,  TC+ กำไรปกติ C,  TC AC+ กำไรปกติ AC Q Q

  15. ดุลยภาพในระยะสั้นของหน่วยธุรกิจและอุตสาหกรรมดุลยภาพในระยะสั้นของหน่วยธุรกิจและอุตสาหกรรม • ความหมายของดุลยภาพ • ดุลยภาพของหน่วยธุรกิจ (equilibrium of the firm) หมายถึง สภาวะความสมดุลที่เกิดขึ้นกับหน่วยธุรกิจ ซึ่งเมื่อหน่วยธุรกิจอยู่ในดุลยภาพแล้ว หน่วยธุรกิจจะไม่เปลี่ยนแปลงปริมาณการผลิตอีกต่อไป นั่นคือ ปริมาณการผลิตในขณะนั้นๆ เป็นปริมาณการผลิตที่เหมาะสมที่สุดของหน่วยธุรกิจ • ดุลยภาพของอุตสาหกรรม (equilibrium of the industry) หมายถึง สภาวะความสมดุลที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรม ซึ่งเมื่ออุตสาหกรรมอยู่ในดุลยภาพแล้วจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงจำนวนหน่วยธุรกิจและจำนวนการผลิตในอุตสาหกรรมอีกต่อไป นั่นคือ จำนวนการผลิตและจำนวนหน่วยธุรกิจที่มีอยู่ในขณะนั้น เป็นจำนวนที่เหมาะสมที่สุดของอุตสาหกรรม

  16. ภาวะดุลยภาพในระยะสั้นของหน่วยธุรกิจและอุตสาหกรรมภาวะดุลยภาพในระยะสั้นของหน่วยธุรกิจและอุตสาหกรรม • ปริมาณการผลิตที่เหมาะสมที่สุดของหน่วยธุรกิจจะเกิดขึ้น ณ จุดที่ MC=MR • ในระยะสั้น ดุลยภาพของหน่วยธุรกิจจะเกิดขึ้น ณ จุดที่ SMC=MR • ได้รับกำไรเกินปกติ • ได้รับกำไรปกติ • หน่วยธุรกิจขาดทุน • ขาดทุนแต่ทนผลิตอยู่ในระยะสั้น • ขาดทุนและควรหยุดผลิต

  17. TR = OPAQ TC = OCBQ  = CPAB 1. กำไรเกินปกติ : P > ATC R,C,P MC AC A P D=AR=MR C B Q O Q

  18. TR = OPAQ TC = OPAQ  = 0 2. กำไรปกติ (จุดคุ้มทุน): P = ATC R,C,P MC AC A P D=AR=MR Q O Q1 Q Q2

  19. TR = OPBQ TC = OCAQ  = - PCAB สามารถชดเชยการขาดทุนในส่วนของ FC ได้เท่ากับ P2PBD ดังนั้น หน่วยธุรกิจจะยังคงดำเนินการผลิตต่อไป เนื่องจากการผลิตจะสามารถชดเชย FC ได้บางส่วน 3.1 ขาดทุนแต่ทนผลิตอยู่ในระยะสั้น : P > AVC R,C,P MC AC AVC A C P B D=AR=MR P2 D Q O Q

  20. TR = OPBQ TC = OCAQ  = - PCAB ขาดทุนในส่วนของ FC เท่ากับPCAB หากไม่ทำการผลิตเลย ก็จะขาดทุนเท่ากับ FC เช่นเดียวกัน 3.2 จุดปิดกิจการ (shut down point): P = AVC R,C,P MC AC AVC A C P D=AR=MR B Q O Q

  21. TR = OPDQ TC = OP2AQ  = - PP2AD ขาดทุนในส่วนของ FC เท่ากับP1P2AB ขาดทุนในส่วนของ VC เท่ากับ PP1BD 3.3 ขาดทุนและควรหยุดผลิต : P < AVC R,C,P MC AC AVC A P2 B P1 D=AR=MR P D Q O Q ดังนั้น หน่วยธุรกิจจะไม่ดำเนินการผลิตต่อไป เพราะการผลิต นอกจากจะไม่สามารถชดเชย FC ได้แล้ว ยังทำให้ขาดทุนในส่วนของ VC เพิ่มขึ้นอีก

  22. เส้นอุปทานในระยะสั้นของหน่วยธุรกิจเส้นอุปทานในระยะสั้นของหน่วยธุรกิจ • การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์เกิดจากจำนวนผู้ซื้อในตลาดเพิ่มขึ้น • ผู้ผลิตจะเริ่มทำการผลิตสินค้าออกจำหน่าย ตั้งแต่ระดับที่เกินกว่าจุดปิดกิจการ เป็นต้นไป ดังนั้น เส้นอุปทานก็คือเส้น MC ที่อยู่เหนือจุดปิดการ P P S MC AC AVC P3 P2 D3 P1 D2 P D1 จุดปิดกิจการ D Q Q Q*

  23. เส้นอุปทานในระยะสั้นของอุตสาหกรรมเส้นอุปทานในระยะสั้นของอุตสาหกรรม P P P S1 S2 Sm 20 10 Q Q Q 40 80 80 40 80 160

  24. ดุลยภาพในระยะยาวของหน่วยธุรกิจและอุตสาหกรรมดุลยภาพในระยะยาวของหน่วยธุรกิจและอุตสาหกรรม • ภาวะดุลยภาพในระยะยาว • การปรับปริมาณการผลิตในระยะยาว เมื่อหน่วยธุรกิจในอุตสาหกรรมมีกำไรเกินปกติอยู่ในระยะสั้น • การปรับปริมาณการผลิตในระยะยาว เมื่อหน่วยธุรกิจในอุตสาหกรรมขาดทุน แต่ทนทำการผลิตเพื่อลดส่วนขาดทุนให้น้อยลง • เส้นอุปทานในระยะยาวของหน่วยธุรกิจและอุตสาหกรรม • กรณีอุตสาหกรรมมีต้นทุนคงที่ • กรณีอุตสาหกรรมมีต้นทุนเพิ่มขึ้น • กรณีอุตสาหกรรมมีต้นทุนลดลง

  25. ภาวะดุลยภาพในระยะยาว เมื่อหน่วยธุรกิจมีกำไรเกินปกติ • เดิมผู้ผลิตได้รับกำไรเกินปกติทำให้ดึงดูดผู้ผลิตรายใหม่เข้ามาสู่อุตสาหกรรม • ดุลยภาพในระยะยาว : LMC=MR ซึ่งได้รับเพียงกำไรปกติ S1 P C, R LMC S2 LAC S3 P1 MR1=AR1 P2 MR2=AR2 P3 MR3=AR3 กำไรปกติ หยุดดึงดูดผู้ผลิตรายใหม่ D Q Q Q1 Q2 Q3 q3 q2 q1

  26. ภาวะดุลยภาพในระยะยาว เมื่อหน่วยธุรกิจขาดทุน แต่ยังทนทำการผลิตต่อไป • ในระยะยาวหน่วยธุรกิจที่ขาดทุนจะเลิกผลิตและออกจากอุตสาหกรรม • ดุลยภาพในระยะยาว : LMC=MR ซึ่งหน่วยธุรกิจได้รับกำไรปกติ LMC P C,R S3 LAC S2 P3 MR3=AR3 S1 MR2=AR2 P2 กำไรปกติ จำนวนหน่วยธุรกิจคงที่ MR1=AR1 P1 D Q Q

  27. เส้นอุปทานในระยะยาว กรณีอุตสาหกรรมมีต้นทุนคงที่ • อุตสาหกรรมมีต้นทุนคงที่ หมายถึง การขยายขนาดของอุตสาหกรรม จะไม่ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยของธุรกิจเกิดการเปลี่ยนแปลง • ในระยะยาวเส้นอุปทานของหน่วยธุรกิจและอุตสาหกรรม จะเป็นเส้นขนานกับแกนนอน ณ ระดับราคาสินค้าในตลาด • นั่นคือ หน่วยธุรกิจและอุตสาหกรรมสามารถผลิตสินค้าออกขายได้ครบถ้วนตามจำนวนอุปสงค์ที่เพิ่มสูงขึ้น และเสนอขายสินค้าแต่ละหน่วยได้ในราคาเดิม

  28. เส้นอุปทานในระยะยาวกรณีอุตสาหกรรมมีต้นทุนคงที่ (ต่อ) • เส้นอุปทานของอุตสาหกรรม : เป็นเส้นโยงต่อจุดดุลยภาพเมื่อผู้ผลิตได้รับเพียงกำไรปกติ นั่นคือเส้น LS • เส้นอุปทานของหน่วยธุรกิจ : เป็นเส้นที่ลากโยงต่อจุดต่ำสุดของเส้น LAC ที่ทำให้ผู้ผลิตได้รับเพียงกำไรปกติ นั่นคือเส้น LRS C,R P S1 S2 LAC1 LAC2 E P2 E1 E2 e2 e1 P1 LS LRS D2 D1 Q Q q1 q2 Q1 Q Q2

  29. เส้นอุปทานในระยะยาวกรณีอุตสาหกรรมมีต้นทุนเพิ่มขึ้น • อุตสาหกรรมมีต้นทุนเพิ่มขึ้น หมายถึง การขยายขนาดของอุตสาหกรรม จะทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยของหน่วยธุรกิจเพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากการไม่ประหยัดภายนอก • ในระยะยาวเส้นอุปทานของหน่วยธุรกิจและอุตสาหกรรม จะเป็นเส้นที่ลาดขึ้นจากซ้ายไปขวา • นั่นคือ ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น หน่วยธุรกิจจะนำสินค้าออกขายเพิ่มขึ้น ก็ต่อเมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้นคุ้มกับต้นทุนต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้น

  30. เส้นอุปทานในระยะยาวกรณีอุตสาหกรรมมีต้นทุนเพิ่มขึ้น (ต่อ) • เส้นอุปทานของอุตสาหกรรม (เลื่อนไปทางขวา) และ LAC ของหน่วยธุรกิจ (เลื่อนสูงขึ้น) เลื่อนจนกว่า ระดับราคาสินค้าในตลาดเท่ากับระดับต่ำสุดของเส้น LAC พอดี C,R P S1 S2 LAC1 LAC2 E P LS LRS e2 P2 e1 E2 P1 E1 D2 D1 Q Q

  31. เส้นอุปทานในระยะยาวกรณีอุตสาหกรรมมีต้นทุนลดลงเส้นอุปทานในระยะยาวกรณีอุตสาหกรรมมีต้นทุนลดลง • อุตสาหกรรมมีต้นทุนลดลง หมายถึง การขยายขนาดของอุตสาหกรรม จะทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยของหน่วยธุรกิจลดลง ซึ่งเกิดจากการประหยัดภายนอกที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรม • ในระยะยาวเส้นอุปทานของหน่วยธุรกิจและอุตสาหกรรม จะเป็นเส้นที่ลาดจากซ้ายลงมาทางขวา • นั่นคือ ต้นทุนต่อหน่วยลดลง หน่วยธุรกิจก็จะสามารถนำสินค้าออกเสนอขายเพิ่มขึ้นในราคาที่ลดลงได้

  32. เส้นอุปทานในระยะยาว กรณีอุตสาหกรรมมีต้นทุนลดลง (ต่อ) • เส้นอุปทานของอุตสาหกรรม (เลื่อนไปทางขวา) และ LAC ของหน่วยธุรกิจ (เลื่อนสูงขึ้น) เลื่อนจนกว่า ระดับราคาสินค้าในตลาดเท่ากับระดับต่ำสุดของเส้น LAC พอดี C,R P S1 LAC1 S2 E LAC2 P E1 e1 P2 e2 P1 LRS LS E2 D2 D1 Q Q

More Related