1.26k likes | 3.5k Vues
ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบน้ำเหลือง และระบบภูมคุ้มกัน. การลำเลียงสารในร่างกาย. การลำเลียงสาร หมายถึง การนำสารอาหารที่ย่อยแล้ว ออกซิเจน เอนไซม์ ฮอร์โมน แร่ธาตุต่างๆ ฯลฯ ไปยังเซลล์และกำจัดของเสียต่างๆ ออกจากเซลล์รวมทั้งช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้เป็นปกติ ด้วย. การลำเลียง สารในร่างกายสัตว์.
E N D
ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบน้ำเหลือง และระบบภูมคุ้มกัน
การลำเลียงสารในร่างกายการลำเลียงสารในร่างกาย การลำเลียงสาร หมายถึง การนำสารอาหารที่ย่อยแล้ว ออกซิเจน เอนไซม์ ฮอร์โมน แร่ธาตุต่างๆ ฯลฯ ไปยังเซลล์และกำจัดของเสียต่างๆ ออกจากเซลล์รวมทั้งช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้เป็นปกติด้วย
การลำเลียงสารในร่างกายสัตว์การลำเลียงสารในร่างกายสัตว์ สิ่งมีชีวิต จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายสารต่างๆ จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเสมอ เช่น หลังย่อยต้องลำเลียงสารไปเก็บไว้ที่เซลล์ หรือเมื่อมีการสลายโมเลกุลของอาหารเพื่อให้ได้พลังงานก็จำเป็นต้องลำเลียงก๊าซออกซิเจนจากภายนอกเข้าสู่เซลล์ เมื่อมีของเสียที่เกิดจากเมทาบอลิซึมของร่างกายก็จะลำเลียงไปกำจัดออกที่ไต สัตว์ที่มีโครงสร้างซับซ้อนและมีขนาดใหญ่เซลล์ที่อยู่ภายในร่างกายไม่ได้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมโดยตรงจำเป็นต้องมี ระบบลำเลียงสาร
การลำเลียงสารของสัตว์ที่ไม่มีระบบหมุนเวียนเลือดการลำเลียงสารของสัตว์ที่ไม่มีระบบหมุนเวียนเลือด โพรทิสต์ (protist) อะมีบา (Ameba) และ พารามีเซียม (Paramecium) มีการแลกเปลี่ยนสารระหว่างเซลล์กับสิ่งแวดล้อม โดยกระบวนการแพร่และการไหลเวียนของไซโทพลาสซึม ภายในเซลล์ (cyclosis) ทำให้สารอาหารเคลื่อนไหวไปโดยรอบๆเซลล์ เพื่อให้ทุกส่วนของเซลล์ได้รับสารอาหารได้ทั่วถึง ส่วนของเสียจะแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ออกจากสิ่งแวดล้อม ถ้าเป็นน้ำจะถูกขับถ่ายโดย contractilevacuole
ฟองน้ำ (sponge) ฟองน้ำเป็นสัตว์ที่ไม่มีเนื้อเยื่อ แต่มีเซลล์เรียงตัวกันอย่างหลวมๆ มีเซลล์ปลอกคอ (collarcell) ทำหน้าที่จับอาหารโดยใช้เท้าเทียมโอบล้อมอาหารแบบฟาโกไซโทซิส (phagocytosis) มีการลำเลียงอาหารโดยกระบวนการแพร่และกระบวนการแอกทีฟทรานสปอร์ต
ไฮดรา (hydra) ไฮดรามีเนื้อเยื่อ 2 ชั้น คือ ชั้นนอก (ectoderm) และชั้นใน (endoderm) มีช่องว่างกลางลำตัว (gascovascularcavity) ทำหน้าที่เป็นทางเดินอาหาร และลำเลียงสารต่างๆ มีเนื้อเยื่อชั้นในทำหน้าที่ย่อยอาหาร เมื่อย่อยแล้วสารอาหารที่มีโมเลกุลขนาดเล็กก็จะแพร่ผ่านออกจากเซลล์ไปสู่ช่องว่างกลางลำตัว และจะถูกขับออกไปนอกลำตัวทางช่องปาก การแลกเปลี่ยนก๊าซของไฮดราสามารถแลกเปลี่ยนกับสิ่งแวดล้อม ได้โดยตรง เพราะเซลล์เกือบทุกเซลล์สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมได้
พลานาเรีย (planaria) พลานาเรียเมื่อกินอาหารเข้าไป อาหารจะเข้าทางปากแล้วผ่านไปยังทางเดินอาหารที่แตกแขนงไปทั่วร่างกาย เซลล์จะสร้างน้ำย่อยมาย่อย อาหาร อาหารที่ย่อยแล้วจะแพร่เข้าสู่เซลล์ที่ผิวของทางเดินอาหารที่แทรกอยู่ทั่วไป หรือใช้กระบวนการ activetransport ก็ได้
สัตว์ชั้นสูง มีระบบหมุนเวียนเลือดช่วยในการลำเลียงสารไปยังส่วนต่างๆของร่างกายแบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ1) ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิด ( Opencirculatorysystem) เป็นระบบที่เลือดไหลออกจากหัวใจแล้วมีทั้งอยู่ในเส้นเลือด ช่องว่างในลำตัวและที่ว่างระหว่างอวัยวะต่างๆ พบในสัตว์ไฟลัมอาร์โทรโพดา เช่น เเมลง กุ้ง กั้ง ปู ไรน้ำ(ไรเเดง) เพรียงหิน เเมงมุมเเมงป่อง เห็บ ไร เเมงดาทะเล ตะขาบ กิ้งกือ ฯลฯ และไฟลัมมอลลัสกา เช่น พวกหอย เป๋าฮื้อ หมึก ลิ่นทะเล ทาก หอยทาก 2) ระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด ( Closed circulatory system ) เป็นระบบที่เลือดไหลอยู่ในเส้นเลือดโดยตลอด พบในสัตว์ไฟลัมแอนเนลิดา(ไส้เดือนดิน เเม่เพรียง ( ไส้เดือนทะเล ) ปลิงน้ำจืด ) คอร์ดาตา(เพรียงหัวหอม เพรียงลอย เพรียงสาย เเอมฟิออกซัส ) และสัตว์มีกระดูกสันหลังทั้งหมด
ไส้เดือนดิน มีหลอดเลือดทอดยาวตลอดลำตัวทั้งด้านบนและด้านล่างโดยหลอดเลือดทางหัวมีลักษณะเป็นห่วงหลอดเลือดรอบบริเวณหลอดอาหารติดต่อระหว่างหลอดเลือดด้านบนและด้านล่างทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปตามหลอดเลือดเหมือนกับหัวใจจึงเรียกห่วงหลอดเลือดบริเวณนี้ว่าหัวใจเทียม(pseuduheart) โดยเลือดของไส้เดือนดินจะไหลวนอยู่ในหลอดเลือดต่อเนื่องกับตลอด เป็นระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด (closed circulatory system)
แมลง มีหลอดเลือดใหญ่อยู่ทางด้านหลังของลำตัวหลอดเลือดบางส่วนขยายขนาดขึ้นทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปตามหลอดเลือดเรียกว่า หัวใจบางช่วงเลือดจะออกจากหลอดเลือดแทรกซึมตามช่องว่างภายในลำตัวส่วนต่างเลือดจะสัมผัสกับเนื้อเยื่อโดยตรงและมีการแลกเปลี่ยนสารเลือดที่เลี้ยงเนื้อเยื่อแล้วจะไหลกลับเข้าสู่หัวใจโดยการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อลำตัวส่วนกุ้งมีการหมุนเวียนเลือดที่แตกต่างจากพวกแมลงเล็กน้อยกล่าวคือมีหัวใจอยู่ทางด้านหัวเพียงตำแหน่งเดียวเลือดส่วนหนึ่งที่ออกจากหัวใจจะไหลผ่านเหงือกเพื่อแลกเปลี่ยนแก๊สกับน้ำภายนอกก่อนแล้วจึงไหลกลับเข้าสู่หัวใจไปเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนต่างๆของร่างกาย
การลำเลียงสารในสัตว์พวกปลาการลำเลียงสารในสัตว์พวกปลา ปลามีระบบหมุนเวียนเลือดแบบวงจรปิด ซึ่งประกอบด้วยหัวใจ (heart) มี 2 ห้อง คือหัวใจห้องบน (atrium) ทำหน้าที่รับเลือดที่มีก๊าซออกซิเจนต่ำจากร่างกาย แล้วเข้าสู่หัวใจห้องล่าง หัวใจห้องล่าง (ventricle) ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดที่มีก๊าซออกซิเจนต่ำไปยังเหงือก atrium ventricle
การลำเลียงสารในร่างกายของคนการลำเลียงสารในร่างกายของคน คนจำเป็นต้องลำเลียงสารไปสู่เซลล์ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายแล้วนำสารที่ร่างกายไม่ต้องการไปกำจัดออกเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตอื่นอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการ ลำเลียงสารในร่างกาย คือ หลอดเลือด และ หัวใจ
หัวใจหัวใจคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดต่างๆ มีโครงสร้างที่คล้ายกัน โครงสร้างภายนอกของหัวใจ
โครงสร้างภายในของหัวใจโครงสร้างภายในของหัวใจ การทำงานของหัวใจ
ห้องหัวใจมี 4 ห้องด้วยกันคือ 1.ห้องบนซ้าย (Left auricle) ทำหน้าที่รับเลือดซึ่งฟอกจากปอดแล้วออกทางเส้นเลือด พัลโมนารี เวน (Pulmonary vein) 2.ห้องบนขวา (Right auricle) รับเลือดที่ใช้แล้วจาก ซูพีเรียเวนาคา ซึ่งนำเลือดจากส่วนบนของร่างกายและอินฟีเรียเวนาคาวา ซึ่งนำเลือดมาจากส่วนล่างของร่างกาย
3.ห้องล่างซ้าย (left ventricle) ทำหน้าที่ส่งเลือดซึ่งรับมาจากห้องบนซ้ายเข้าสู่เส้นเลือดแดงใหญ่ เอออร์ตา (aorta) เพื่อไปเลี้ยงทั่วร่างกาย หัวใจห้องนี้ผนังหนาที่สุดเนื่องจากต้องใช้แรงในการบีบตัวมากกว่าหัวใจห้องอื่นๆ 4.ห้องล่างขวา (rifht ventricle) ทำหน้าที่ส่งเลือดที่ใช้แล้ว ซึ่งรับมาจากห้องบนขวาไปฟอกที่ปอด โดยผ่านไปทางเส้นเลือด พัลโมนารี อาร์เตอรี (pulmonary artery) หัวใจห้องนี้มีผนังหนา เช่นกันแต่บางกว่าห้องล่างซ้ายเนื่องจากส่งเลือดไปยังปอดเท่านั้น ไม่ต้องใช้แรงบีบมากนัก
หลอดเลือดทำหน้าที่ลำเลียงเลือดจากหัวใจไปยังอวัยวะส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย และเป็นเส้นทางให้เลือดจากอวัยวะต่างๆทั่วร่างกายกลับเข้าสู่หัวใจ
1.หลอดเลือดแดงหรืออาร์เตอรี ทำหน้าที่นำเลือดออกจากหัวใจไปยังเส้นเลือดฝอย ได้แก่ เอออร์ตา(aorta)มีขนาดใหญ่ที่สุด อาร์เตอรี (artery) ขนาดต่างๆ และอาร์เตอริโอล (arteriole) ซึ่งเป็นเส้นเลือดแดงที่มีขนาดเล็กที่สุด หลอดเลือดแดงหยืดหยุ่นได้ดี เนื่องจากมีอีลาสไฟติกเบอร์ (Elastic Fiber) อยู่มาก เส้นเลือดแดงขนาดใหญ่จะยืดหยุ่นได้ดีกว่าเส้นเลือดแดงขนาดเล็ก เส้นเลือดแดงมักมีผนังหนา เนื่องจากมีกล้ามเนื้อเรียบค่อนข้างมาก เพื่อต้านทานแรงดันของเลือดที่ส่งออกจากหัวใจและปรับระดับความดันเลือดไม่ให้ลดลงมากหนัก
2. หลอดเลือดดำหรือเวน ทำหน้าที่นำเลือดเข้าสู่หัวใจ ได้แก่ เวนาคาวา (Vena cava)มีขนาดใหญ่ที่สุด เวน (Vein) ขนาดต่างๆ เวนูล (Venule) ซึ่งเป็นเส้นเลือดดำที่มีขนาดเล็กที่สุด เส้นเลือดดำขนาดใหญ่มีอีลาสติกไฟเบอร์และกล้ามเนื้อเรียบอยู่บ้าง แต่น้อยกว่าเส้นเลือดแดงมาก เส้นเลือดดำเล็ก เช่น เวนูลมีผนังบางมากไม่มีกล้ามเนื้อเรียบเลย เส้นเลือดดำสามารถยืดขยายได้ดีจึงมีความจุสูง สามารถบรรจุเลือดได้ถึง 60-70% ของเลือดทั้งหมด เนื่องจากความดันในเส้นเลือดดำต่ำ ดังนั้นภายในเส้นเลือดดำจึงตองลิ้นอยู่ด้วยช่วยป้องกัน ไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับทาง
3. เส้นเลือดฝอยหรือคะปิลลารี(capillary) เป็นเส้นเลือดที่อยู่ระหว่างเส้นเลือดแดงอาเตอริโอลและเส้นเลือดดำ เวนูล เส้นเลือดฝอยเป็นเส้นเลือดที่มีขนาดเล็กที่สุด ผนังประกอบด้วยเซลล์เพียงชั้นเดียว สานกันเป็น ตาข่ายร่างแหแทรกอยู่ทุกส่วนของร่างกาย การที่ เส้นเลือดฝอยมีขนาดเล็กและผนังบางมาก ทำให้เลือดไหลผ่านเส้นเลือดฝอยอย่างช้าๆ และเกิดการแลกเปลี่ยน ก๊าซสารอาหารและของเสียต่างๆ ระหว่างเลือดใน เส้นเลือดฝอยและเซลล์ทั่วร่างกายได้อย่างเพียงพอ
ความดันเลือด ( blood pressure)หมายถึงความดันในหลอดเลือดแดงเป็นส่วนใหญ่เกิดจากบีบตัวของหัวใจที่ดันเลือดให้ไหลไปตามหลอดเลือดความดันของหลอดเลือดแดงที่อยู่ใกล้หัวใจจะมีความดันสูงกว่าหลอดเลือดแดงที่อยู่ไกลหัวใจ ส่วนในหลอดเลือดดำจะมีความดันต่ำกว่าหลอดเลือดแดงเสมอความดันเลือดมีหน่วยวัดเป็นมิลลิเมตรปรอท (mmHg) เป็นตัวเลข 2 ค่าคือ
ค่าความดันเลือดขณะหัวใจบีบตัว และค่าความดันเลือดขณะหัวใจคลายตัว เช่น 120/80 มิลลิเมตรปรอท- ค่าตัวเลข 120 แสดงค่าความดันเลือดขณะหัวใจบีบตัวให้เลือดออกจากหัวใจเรียกว่าความดันระยะหัวใจบีบตัว (Systolic Pressure) • ส่วนตัวเลข 80 แสดงความดันเลือดขณะหัวใจคลายตัว เพื่อรับเลือดเข้าสู่หัวใจเรียกว่าความดันระยะหัวใจคลายตัว (Diastolic Pressure)
เครื่องมือวัดความดันเลือดเรียกว่า “ มาตรความดันเลือด จะใช้คู่กับสเตตโตสโคป (stetoscope)'' โดยจะวัดความดันที่หลอดเลือดแดง ปกติความดันเลือดสูงสุดขณะหัวใจบีบตัวให้เลือดออกจากหัวใจมีค่า 100 + อายุ และความดันเลือดขณะหัวใจรับเลือดไม่ควรเกิน 90 มิลลิเมตรปรอท ถ้าเกินจะเป็นโรคความดันเลือดสูง ซึ่งมีสาเหตุหลายประการ เช่นหลอดเลือดตีบตัน คอเลสเตอรอลในเลือดสูง โกรธง่ายหรือเครียดอยู่เป็นประจำ พบมากในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีจิตใจอยู่ในสภาวะเครียด นอกจากนี้ยังเกิดจากอารมณ์โกรธทำให้ร่างกายผลิตสารชนิดหนึ่งออกมา ซึ่งสารนี้จะมีผลต่อการบีบตัวของหัวใจโดยตรง
ชีพจรหมายถึง การหดตัวและการคลายตัวของหลอดเลือดแดง ซึ่งตรงกับจังหวะการเต้นของหัวใจคนปกติหัวใจเต้นเฉลี่ยประมาณ 72 ครั้งต่อนาที การเต้นของชีพจรแต่ละคนจะแตกต่างกันปกติอัตราการเต้นของชีพจรในเพศชายจะสูงกว่าเพศหญิง
ปัจจัยที่มีผลต่อความดันเลือด มีดังนี้ • อายุ ผู้สูงอายุมีความดันเลือดสูงกว่าเด็ก • เพศ เพศชายมีความดันเลือดสูงกว่าเพศหญิง ยกเว้นเพศหญิงที่ใกล้หมดประจำเดือน • จะมีความดันเลือดค่อนข้างสูง • 3. ขนาดของร่างกาย คนที่มีร่างกายขนาดใหญ่มักมีความดันเลือดสูงกว่าคนที่มีร่างกาย • ขนาดเล็ก • 4. อารมณ์ ผู้ที่มีอารมณ์เครียด วิตกกังวล โกรธหรือตกใจง่ายทำให้ความดันเลือดสูงกว่าคนที่ • อารมณ์ปกติคนทำงานหนักและการออกกำลังกาย ทำให้มีความดันเลือดสูง
เลือด (Blood) ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นของเหลว 55 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเรียกว่า “ น้ำเลือดหรือพลาสมา (plasma)”และส่วนที่เป็นของแข็งมี 45 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งได้แก่ เซลล์เม็ดเลือดและเกล็ดเลือด
เซลล์เม็ดเลือดแดง (erythrocyte) มีลักษณะค่อนข้างกลมตรงกลางจะเว้าเข้าหากัน ( คล้ายขนมโดนัท ) เนื่องจากไม่มีนิวเคลียส องค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นสารประเภทโปรตีนที่เรียกว่า “ ฮีโมโกลบิน ” ซึ่งมีสมบัติในการรวมตัวกับแก๊สต่างๆ ได้ดี เช่น แก๊สออกซิเจนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในระยะเอ็มบริโอ สร้างจาก ตับ ม้าม ไขกระดูก ภายหลังคลอดแล้ว สร้างจากไขกระดูก เมื่อสร้างมาใหม่ๆจะมีนิวเคลียส แต่เมื่อเจริญเต็มที่จะไม่มีนิวเคลียส
หน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊ส โดยจะลำเลียงแกสออกซิเจน ไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย และลำเลียงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากส่วนต่างๆ ของร่างกายกลับไปที่ปอดแหล่งสร้างเม็ดเลือดแดงคือ ไขกระดูก ผู้ชายจะมีเซลล์เม็ดเลือดแดงมากกว่าผู้หญิง เซลล์เม็ดเลือดแดงมีอายุประมาณ 110-120 วัน หลังจากนั้นจะถูกนำไปทำลายที่ตับและม้าม
เซลล์เม็ดเลือดขาว (leucocyte) มีขนาดใหญ่กว่าเซลล์เม็ดเลือดแดง มีอายุราว 2-3วัน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกlymphocyte ทำหน้าที่สร้างสารต่อต้าน จำเพาะ(antibody)กลุ่มที่สอง แบบไม่ จำเพาะ ได้แก่ phagocyteทำลายเชื้อโรคแบบฟาโกไซโทซิส
หน้าที่ทำลายเชื้อโรคหรือสารแปลกปลอมที่เข้ามาสู่ร่างกายหน้าที่ทำลายเชื้อโรคหรือสารแปลกปลอมที่เข้ามาสู่ร่างกาย แหล่งที่สร้างเม็ดเลือดขาวคือ ม้าม ไขกระดูก และต่อมน้ำเหลือง มีอายุประมาณ 7-14 วัน
เพลตเลต (platelet) ลักษณะ เพลตเลตไม่ใช่เซลล์แต่เป็นชิ้นส่วนของไซโทพลาสซึมชนิดหนึ่งของกระดูกไขสันหลังที่ขาดเป็นชิ้น เพลตเลตมีเยื่อหุ้มเซลล์แต่ไม่มีนิวเคลียส มีขนาดเล็ก มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 ไมโครเมตร
มีรูปร่างไม่แน่นอน ภายในประกอบด้วยทอมโบรพลาสติน (thromboplastin) ซึ่งมีส่วนประกอบสำคัญเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
หน้าที่ของเพลตเลต เพลตเลตเป็นตัวการสำคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือด (blood clotting)
การแข็งตัวของเลือด - เมื่อเกิดบาดแผล เพลตเลตจะปล่อยเอนไซม์ทอมโบพลาสติน ทำงานร่วมกับ Ca+ วิตามินเค - โดยเอนไซม์ทอมโบพลาสตินจะไปเปลี่ยนเอนไซม์ โพรทอมบิน ซึ่งไม่ว่องไว ให้เป็นเอนไซม์ทอมบิน
- เอนไซม์ทอมบินไปเปลี่ยนโปรตีนไฟบริโนเจน ให้เป็นโปรตีนไฟบริน ซึ่งจะประสานกันเป็นร่างแหบริเวณ ปากแผล และเพลตเลตก็จะมาเกาะทำให้เลือดหยุดไหล ภาพการประสานกันของโปรตีนไฟบริน
น้ำเลือด ( plasma ) น้ำเลือดเป็นของเหลวค่อนข้างใส มีสีเหลืองอ่อน ภาพแสดงลักษณะของน้ำเลือด
น้ำเลือดประกอบด้วย 1. น้ำ ประมาณ 90-93 % รักษาระดับของน้ำเลือด และความดันเลือดให้คงที่ เป็นตัวกลางในการลำเลียงสาร 2. โปรตีน 7-10 % (โพรบริโนเจน, อัลบูมิน, โกลบูลิน) ช่วยในการแข็งตัวของเลือด 3. สารอาหารโมเลกุลเล็กๆ ยูเรียคาร์บอนไดออกไซด์ เอนไซม์และฮอร์โมนชนิดต่างๆ - ถ้านำลือดที่ทิ้งให้แข็งตัวก่อนแล้วนำไปปั่น เพื่อแยกเซลล์เม็ดเลือด เพลตเลต และโพรไฟบรินออกจากส่วนที่เหลือจะเป็นของเหลวใสๆ เรียกว่า ซีรัม (serum)
หน้าที่ของน้ำเลือด 1. ลำเลียงเม็ดเลือด และสารอื่นๆ ได้แก่ อาหารที่ย่อยแล้ว แร่ธาตุ ฮอร์โมน แอนติบอดี 2. ช่วยรักษาสมดุลความเป็น กรด - เบส สมดุลของน้ำ และรักษาอุณหภูมิของร่างกาย
หมู่เลือดและการให้เลือดหมู่เลือดและการให้เลือด ระบบหมู่เลือด ABO คนที่มีเลือดต่างกันนั้นมีสารพวกโปรตีนภายในพลาสมา ที่เรียกว่า แอนติบอดี ( Antibody ) ที่หมุนเวียนไปทั่วร่างกายแตกต่างกันและมีสารเคมีที่เรียกว่า แอนติเจน ( Antigen ) อยู่ที่เยื่อหุ้มเซลล์ของเม็ดเลือดแดงแตกต่างกัน ในระบบ ABO จำแนกหมู่เลือดออกเป็น 4 หมู่คือ หมู่เลือด A, B, AB และ O แอนติเจนและแอนติบอดีในเม็ดเลือด ในประชากรทั้งหมดคนที่มีเลือดหมู่ O จะมีมากที่สุดมีอยู่ราว ๆ 40 – 50 % หมู่ A มีประมาณ 40 % หมู่ B มีอยู่ราว ๆ 10 -50 % หมู่ AB มีอยู่ราว ๆ 5 %
แอนติเจนและแอนติบอดีในเม็ดเลือดและพลาสมาในหมู่เลือดแอนติเจนและแอนติบอดีในเม็ดเลือดและพลาสมาในหมู่เลือด หมู่เลือด แอนติเจนบนผิวเม็ดเลือดแดง แอนติบอดีในพลาสม่า O - Anti A, Anti B A A Anti B B BAnit A AB A, B -
หลักการให้เลือดและการรับเลือดของคนในหมู่เลือดระบบ ABO ผู้ให้กับผู้รับ ควรจะมีเลือดหมู่เดียวกัน จึงจะปลอดภัยที่สุด เลือดของผู้ให้จะต้องไม่มีแอนติเจนตรงกับ แอนติเจนของผู้รับ ผู้ให้สากล คือ เลือดหมู่โอ สามารถให้ได้ทุกหมู่ ผู้รับสากล คือ เลือดหมู่เอบี สามารถรับได้ทุกหมู่
การให้เลือดกลุ่ม ABO - หมู่เลือด A มีแอนติเจน A และมีแอนติบอดีB ดังนั้นหมู่เลือดA ไม่สามารถให้แก่หมู่เลือด B เพราะหมู่เลือด B มีแอนติเจน B และแอนติบอดีA ( แอนติเจนตรงกับแอนติบอดีของผู้รับ ) เลือดจะตกตะกอน - หมู่เลือด O ไม่มีแอนติเจนใดๆเลย ดังนั้นจึงสามารถถ่ายเลือดให้ผู้รับได้ทุกหมู่เรียก หมู่เลือด O ว่า ผู้ให้สากล ( Universal donor ) แต่จะรับเลือดจากหมู่เลือดอื่นไม่ได้เลย เพราะมีแอนติบอดีทั้ง A และ B - หมู่เลือด AB มีแอนติเจน A และ B ดังนั้นจึงไม่สามารถถ่ายเลือดให้หมู่เลือดอื่นได้เลย เป็นผู้รับอย่างเดียวเท่านั้น เรียกหมู่เลือด AB ว่าเป็นผู้รับสากล ( Universal recipient )
ระบบหมู่เลือด Rh เป็นหมู่เลือดอีกหมู่ที่มีความสำคัญแก่ชีวิต หมู่เลือดระบบ Rhซึ่งได้มาจากคำว่า Rhesus monkey ซึ่งเป็นลิงวอกชนิดหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Macacamuluttaหมู่เลือดระบบ Rhแบ่งเป็น 2 พวก คือ Rh+และ Rh- Rh + คือ เลือดที่มีแอนติเจน Rhอยู่บนผิวเซลล์เม็ดเลือดแดงแต่ไม่มี Antibody ( แอนติบอดี ) Rhในน้ำเลือด ซึ่งคนไทยประมาณร้อยละ 90 จะเป็น Rh + Rh - คือ เลือดที่ไม่มีแอนติเจน Rhอยู่บนผิวเซลล์เม็ดเลือดแดง และน้ำเลือดก็ไม่มีแอนติบอดี Rhแต่สามารถสร้างแอนติบอดีRhได้เมื่อได้รับแอนติเจนRh( Rh+)
การให้เลือดและรับเลือดของคนที่มีหมู่เลือด Rh 1. คนที่มีเลือด Rh + สามารถรับได้ทั้ง Rh + และ Rh - เพราะคนที่มีเลือดRh+ไม่สามารถสร้างแอนติบอดีได้ 2. คนที่มีเลือด Rh - รับเลือด Rh + ครั้งแรกไม่เกิดอันตรายเพราะว่าแอนติบอดียังน้อย แต่จะเกิดอันตรายรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆในครั้งต่อไป 3. ถ้าแม่มีเลือด Rh + รับเลือด Rh - เมื่อมีลูก ลูกจะปลอดภัยไม่ว่าลูกจะมีเลือดเป็น Rh + หรือ Rh – 4. ถ้าแม่มีเลือด Rh - พ่อ Rh + ถ้าลูกมีเลือด Rh - ลูกจะปลอดภัยแต่ถ้าลูกมีเลือด Rh + ลูกจะไม่ปลอดภัยโดยเฉพาะลูกคนต่อ ๆไป เพราะแอนติบอดีRhที่อยู่ในเลือดจากการตั้งครรภ์ครั้งแรกจะเข้าสู่เลือดของเด็กและเกิดปฏิกิริยาขึ้นได้
ในกรณีที่หญิงมีเลือด Rh-แต่งงานกับชายที่มีเลือด Rh+หากเกิดทารกในครรภ์มีเลือด Rh+ซึ่งได้ยีนมาจากพ่อ เลือดทารกในครรภ์นั้นจะกระตุ้นให้แม่สร้างแอนติบอดี Rhขึ้นมาต่อต้าน Rh+ทารกคนแรกอยู่ในครรภ์เพียง 9 เดือนแอนติบอดี Rhของแม่ยังไม่มากพอที่จะทำลาย Rh+ได้ ลูกคนแรกจึงคลอดออกมาปกติ แต่ถ้าลูกคนถัดมาเกิดมี Rh+เป็นคนที่สองอีก เลือดของแม่จะสร้างแอนติบอดี Rhเพิ่มมากขึ้น และสามารถส่งเข้าไปยังรกสู่ทารกในครรภ์ ทำให้เม็ดเลือดแดงของทารกจับกลุ่มตกตะกอน ทารกถึงตายได้ โรคนี้เรียกว่า อิริโทรบลาสโทซิสฟีทาลิส ( Erythroblastosisfetalis )