350 likes | 716 Vues
การเก็บรวบรวมข้อมูล. ข้อมูล (Data). 1. การพิจารณาจากแหล่งที่มาของข้อมูล ข้อมูลขั้นต้น หรือข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) เป็นข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ ทดสอบ หรือวัดโดยผู้วิจัยเอง เช่น ข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมในภาคสนามของโครงการวิจัยต่างๆ ข้อมูลขั้นรอง หรือข้อมูลขั้นที่สอง หรือ ข้อมูลทุติภูมิ
E N D
ข้อมูล (Data) 1. การพิจารณาจากแหล่งที่มาของข้อมูล ข้อมูลขั้นต้น หรือข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) เป็นข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ ทดสอบ หรือวัดโดยผู้วิจัยเอง เช่น ข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมในภาคสนามของโครงการวิจัยต่างๆ ข้อมูลขั้นรอง หรือข้อมูลขั้นที่สอง หรือ ข้อมูลทุติภูมิ (Secondary Data) เป็นการนำข้อมูลจากปฐมภูมิมาศึกษาวิเคราะห์
2. พิจารณาจากคุณสมบัติของข้อมูล ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Data) เป็นข้อมูลที่มีหน่วยวัดแทนเป็นค่าตัวเลขได้ เช่น น้ำหนัก ความสูง ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data) ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพ เป็นข้อมูลที่บอกถึงลักษณะความเป็นนามธรรมที่แทนค่าเป็นตัวเลขได้ค่อนข้างลำบาก เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับทัศนคติความคิดเห็น ข้อมูลเกี่ยวกับจริยธรรม ความดี ความเลว ความถูกต้อง ความเหมาะสม เป็นต้น
วิธีการรวบรวมข้อมูล (Data Collection) 1. การรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร (Documentary Data) 2. การรวบรวมข้อมูลจากสนาม (Field Data)
1. การรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร เป็นการรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิจากเอกสารและสิ่งพิมพ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ศึกษาวิจัย ช่วยก่อให้เกิดประโยชน์ “ประการแรกที่ผู้วิจัยย่อมมองเห็นภาพของปัญหาที่จะวิจัยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น หลังจากที่ได้อ่านเอกสารและสิ่งพิมพ์ที่มีประเด็นสัมพันธ์กับปัญหาที่จะวิจัยอย่างถี่ถ้วนแล้ว ประการที่สองผู้วิจัยจะได้ทราบว่าปัญหาที่จะวิจัยนั้นได้มีผู้หนึ่งผู้ใดทำไว้ก่อนหรือยัง หรือมีผู้ใดได้วิจัยประเด็นบางส่วนของปัญหาที่จะวิจัยไว้บ้างแล้วหรือเปล่า และประการสุดท้ายผู้วิจัยจะได้มีความเข้าใจอย่างกว้างขวางที่จะเลือกใช้วิธีวิจัยที่เหมาะสม และตั้งแนววิเคราะห์ที่ถูกต้องเพื่อการวิจัยปัญหาของตน”
เอกสารหรือสิ่งพิมพ์ที่จะเป็นแหล่งในการค้นคว้ารวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1. หนังสือตำราทั่วๆ ไป เป็นหนังสือที่ให้ความรู้เฉพาะในสาขาวิชาต่างๆ ที่จะรวบรวมกฎเกณฑ์ ทฤษฎีแนวคิดในเรื่องต่างๆ ไว้ 2. หนังสืออ้างอิง (Reference Books) เป็นหนังสือที่มีการเรียบเรียงพิเศษ แบ่งเป็นหมวดเป็นตอนในแต่ละเรื่อง ได้แก่ สารานุกรม (Encyclopedia) พจนานุกรม (Dictionaries) หนังสือรายปี (Yearbooks, Almanacs) หนังสืออ้างอิงทางภูมิศาสตร์ (Geographical Sources) นามานุกรม (Directories) ดรรชนีวารสาร (Periodical Indexes) เป็นต้น
3. วิทยานิพนธ์ (Thesis) 4. วารสาร (Periodicals) 5. หนังสือพิมพ์ (Newspapers) 6. จุลสาร (Pamphlets) 7. สิ่งพิมพ์รัฐบาลอื่นๆ 8. ไมโครฟิล์ม (Microfilms)
2. การรวบรวมข้อมูลจากสนาม ข้อมูลจากสนามที่รวบรวมขึ้นมาได้นั้น ถ้าดำเนินอย่างเป็นระบบที่ถูกต้องแล้ว ถือว่าเป็นข้อมูลปฐมภูมิที่มีคุณค่าต่อการวิจัยมาก เนื่องจากเป็นการรวบรวมข้อมูลจากต้นตอของปัญหาที่สนใจจะศึกษา ผู้วิจัยยังมีโอกาสได้สัมผัสพบปะพูดจาแลกเปลี่ยนกับประชากรเป้าหมายที่เป็นผู้ให้ข้อมูลโดยตรงอีกด้วย การรวบรวมข้อมูลจากสนามนิยมกันมีอยู่ 3 วิธี คือ 2.1 การสังเกต (Observation) 2.2 การส่งแบบสอบถาม (Questionnaire) 2.3 การสัมภาษณ์ (Interview)
2.1 การสังเกต “การสังเกตเป็นเครื่องมือเบื้องต้นที่รวบรวมข้อมูลในการวิจัยที่ถือว่าลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์” การสังเกตที่เป็นวิธีการศึกษาในทางวิทยาศาสตร์ว่าจะต้องประกอบด้วยลักษณะที่สำคัญ 7 ประการด้วยกัน คือ (1) มีความน่าเชื่อถือ (Accuracy) สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีอยู่จริง (2) มีความแน่นอน (Precision) ซึ่งเป็นประโยชน์ในการวัดที่จะนำไปสู่ความถูกต้อง (3) มีระบบ (Systematic)
(4) มีจดบันทึก (Records) ซึ่งจะนำไปสู่การสะสมความรู้ในสาขาวิชาต่างๆ ให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น (5) มีภาวะวัตถุวิสัย (Objectivity) คือยอมรับตามสภาพของปรากฏการณ์ที่แท้จริงที่เกิดขึ้นโดยไม่ใช้ความรู้สึกนึกคิดส่วนตัวหรือวัฒนธรรมของตนเองเข้าไปตัดสิน (6) สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ (Controlled Condition) ในการสังเกตสามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้ (7) สามารถฝึกฝนได้ (Trained Observation) นั่นคือ การสังเกตสามารถฝึกให้ผู้อื่นเป็นนักสังเกตที่ดีได้
แบบของการสังเกต (Type of Observation) 1. การจำแนกโดยพิจารณาจากผู้วิจัยเป็นหลัก แบ่งออกได้เป็น 2 วิธีด้วยกัน คือ 1.1 การสังเกตด้วยวิธีส่วนรวม (Participant Observation) 1.2 การสังเกตโดยไม่มีส่วนร่วม (Nonparticipant Observation)
1.1 การสังเกตโดยมีส่วนร่วม เป็นวิธีการสังเกตที่ผู้วิจัยหรือคณะผู้วิจัยเข้าไปร่วมอยู่ในปรากฏการณ์ที่ต้องการศึกษามีฐานะหรือสถานภาพเป็นสมาชิกผู้หนึ่งของกลุ่มหรือสังคมนั้นๆ เป็นวิธีการที่นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมกระทำกันมาก 1.2 การสังเกตโดยไม่มีส่วนร่วม เป็นการสังเกตที่ผู้วิจัยมิได้เข้าไปร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มที่ต้องการจะศึกษา หากแต่เป็นบุคคลภายนอกกลุ่มที่คอยเฝ้าสังเกตดูพฤติกรรมต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องที่สนใจว่าจะเป็นเช่นไร การสังเกตในลักษณะนี้ต้องระวังไม่ให้ผู้ถูกสังเกตรู้ตัว มิเช่นนั้นจะทำให้พฤติกรรมที่แสดงออกไม่เป็นไปตามธรรมชาติ
2. จำแนกโดยพิจารณาเค้าโครงในการสังเกตเป็นหลัก แบ่งออกได้เป็น 2 วิธีด้วยกัน คือ 2.1 การสังเกตที่กำหนดเค้าโครงแน่นอนล่วงหน้า (Structured Observation) 2.2 การสังเกตที่ไม่ได้กำหนดเค้าโครงแน่นอนล่วงหน้า (Less Structured Observation)
2.1 การสังเกตที่กำหนดเค้าโครงแน่นอนล่วงหน้า เป็นการสังเกตที่ผู้ศึกษาได้กำหนดเรื่องที่จะสังเกตไว้เป็นการเฉพาะแล้ว 2.2 การสังเกตที่ไม่ได้กำหนดเค้าโครงแน่นอนล่วงหน้า เป็นการสังเกตที่ผู้สังเกตไม่ได้กำหนดเรื่องที่จะศึกษาแน่นอนเหมือนแบบแรก เป็นการศึกษาในเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ต่างๆ ภายใต้การสังเกตการณ์ได้ตลอดเวลาอาจจะมีการแปรผันของเหตุการณ์ไปสู่ความรู้เรื่องอื่นๆ การสังเกตแบบนี้จึงเหมาะสำหรับการศึกษาแบบสำรวจสภาพการณ์ใหม่ทั่วๆ ไป การสังเกตด้วยวิธีนี้ ผู้สังเกตมักจะต้องเข้าไปร่วมอยู่ในกลุ่มหรือชุมชนนั้นๆ ด้วย
หลักทั่วๆ ไปในการสังเกต คือ การสังเกตเกี่ยวกับ 1) ผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่ในสถานการณ์นั้น 2) สถานที่แวดล้อมของพฤติกรรมนั้น 3) จุดมุ่งหมายของพฤติกรรมที่เกิดขึ้น 4) ตัวพฤติกรรมนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร ระหว่างใครกับใคร มีการกระทำอย่างไร เกิดผลอย่างไร 5) ความถี่ของพฤติกรรมนั้น มากน้อย บ่อยช้าเพียงไร
2.2 การส่งแบบสอบถาม แบบสอบถามเป็นชุดของคำถามที่มีการจัดทำเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วส่งให้กับหน่วยของประชากรเป้าหมายที่ถูกเลือกมาเป็นตัวอย่างให้ตอบข้อคำถามเหล่านั้นแล้วนำผลที่ได้มารวบรวมทำการวิเคราะห์และแปลความหมายต่อไป การส่งไปให้กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามอาจจะเป็นการส่งไปรษณีย์ (Mailed Questionnaire) ไปให้กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามแล้วส่งกลับคืนมายังผู้ศึกษา หรืออาจจะใช้วิธีมอบหมายให้บุคคลในคณะผู้วิจัยไปแจกแบบสอบถามและเก็บรวบรวมกลับคืน
แบบสอบถามจะถูกส่งคืนมาประมาณร้อยละ 20-30 ของแบบสอบถามที่ส่งไปทั้งหมด ถ้าหากได้รับแบบสอบถามกลับคืนมาตั้งแต่ร้อยละ 40 ขึ้นไปถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจมากแล้ว การจะได้รับแบบสอบถามกลับคืนมามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแบบสอบถามที่ใช้ว่า ชัดเจนเพียงใด เรื่องที่สอบถามนั้นตรงกับความสนใจของผู้ตอบหรือไม่ การตอบแบบสอบถามนั้นใช้เวลามากน้อยเพียงใด
คำถามต่างๆ มีความชัดเจนและอำนวยความสะดวกในการตอบได้แค่ไหน ก่อให้เกิดความอึดอัดลำบากใจหรือไม่หรือเกิดความระแวงสงสัยในข้อคำถามว่าจะมีผลกระทบในทางเสียหายกับตนหรือไม่ ตัวผู้ตอบแบบสอบถามเองเห็นความสำคัญ เข้าใจวัตถุประสงค์ในการศึกษาและยินดีให้ความร่วมมือในการตอบคำถามเพียงใด
ข้อได้เปรียบของการใช้แบบสอบถามข้อได้เปรียบของการใช้แบบสอบถาม 1. ความประหยัดในการรวบรวมข้อมูล ใช้เวลาไม่นานนัก และลงทุนไม่มาก ใช้กำลังคนในการดำเนินงานไม่มาก 2. ผู้ตอบมีอิสระในการตอบคำถาม ทำให้เกิดความสบายใจในการตอบสามารถปกปิดชื่อของตัวเองได้ และมีเวลาในการพิจารณาคำถามต่างๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน ทำให้ตอบคำถามได้ตรงตามความเป็นจริง 3. คำตอบที่รวบรวม มาได้มาจากคำถามที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทำให้เกิดความสะดวกในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล
ข้อจำกัดในการใช้แบบสอบถามข้อจำกัดในการใช้แบบสอบถาม 1. การใช้แบบสอบถาม จะใช้ได้เฉพาะกลุ่มของตัวอย่างที่มี ความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ระดับค่อนข้างดีเท่านั้น 2. จำนวนแบบสอบถาม ที่ได้รับกลับคืนจะมีสัดส่วนที่น้อย ผู้ศึกษาจะต้องจัดส่งจำนวนแบบสอบถามเผื่อในจำนวนที่มาก พอที่จะได้รับจำนวนแบบสอบถามกลับคืนเพื่อให้ได้จำนวนครบ หรือใกล้เคียงกับที่ต้องการวิเคราะห์
3. ถ้าคำถามที่กำหนดในแบบสอบถาม ไม่ชัดเจนหรือผู้ตอบไม่เข้าใจคำตอบที่ได้อาจจะออกมาในรูปของไม่ทราบ ไม่แน่ใจเป็นจำนวนมาก หรือไม่มีคำตอบในข้อคำถามนั้น 4. ข้อคำถามที่มีความสัมพันธ์กัน คำตอบที่ได้รับกลับคืนอาจจะไม่สัมพันธ์กัน ซึ่งผู้วิจัยไม่สามารถแก้ไขได้ 5. ผู้วิจัยไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า จ้อมูลที่ได้รับกลับคืนมานั้นเป็นข้อมูลที่กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ตอบเองหรือผู้อื่นเป็นผู้ตอบแทน
2.3 การสัมภาษณ์ (Interview) การสัมภาษณ์จะมีบุคคลที่ทำหน้าที่ในการซักถามปัญหา จากหน่วยของประชากรเป้าหมายที่เป็นตัวอย่างในการศึกษาตามรายการคำถามที่กำหนด และบันทึกคำตอบที่ได้รับลงในแบบสอบถามซึ่งเรียกว่าแบบสัมภาษณ์ (Interview Schedule) บุคคลที่ทำหน้าที่ดังกล่าวคือ พนักงานสัมภาษณ์ (Interviewer)
ประเภทของการสัมภาษณ์ 1. การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างหรือเป็นมาตรฐาน (Structured of Standardized Interview) 2. การสัมภาษณ์แบบไม่กำหนดโครงสร้างหรือแบบไม่เป็นมาตรฐาน (Less Structured of Unstandardized Interview)
1. การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง เป็นวิธีการสัมภาษณ์ที่ซักถามผู้ให้สัมภาษณ์ตามแบบสัมภาษณ์ที่กำหนดไว้เรียงไปตามลำดับของหัวข้อคำถามตั้งแต่ต้น 2. การสัมภาษณ์แบบไม่กำหนดโครงสร้าง เป็นวิธีการซักถามปัญหาหรือความคิดเห็นของผู้สัมภาษณ์ในเรื่องต่างๆ ที่ ผู้สัมภาษณ์มีอิสระในการถามอย่างเต็มที่ ไม่จำเป็นต้องยึดตามแบบสัมภาษณ์ที่กำหนดเหมือนแบบแรก ผู้สัมภาษณ์สามารถที่ จะเลือกถามคำถามอะไรก่อนหรือหลังก็ได้ การสัมภาษณ์แบบไม่กำหนดโครงสร้างอาจจะมีหลายรูปแบบด้วยกัน คือ
2.1 การสัมภาษณ์โดยไม่จำกัดคำตอบ (Non-Directed Interview) เป็นการสัมภาษณ์ที่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ได้ตามความพอใจ ผู้สัมภาษณ์กระทำตนเป็นนักฟังที่ดี อาจจะตั้งคำถามเพียงสองสามประโยคแล้วให้ผู้ถูกสัมภาษณ์พูดหรืออธิบายจนจบ ผู้สัมภาษณ์จะคอยบันทึกคำพูดและแนวความคิดต่างๆ ทั้งหมด อาจจะใช้คำถามบางประโยคเข้าช่วยเช่น “คุณรู้สึกอย่างไรกับสิ่งนั้น” “มีอะไรที่จะบอกมากกว่านี้อีกไหม” “ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น” “เรื่องนั้นน่าสนใจหรือไม่” 2.2 การสัมภาษณ์แบบลึก (Depth Interview) เป็นการสัมภาษณ์ที่ผู้สัมภาษณ์ต้องการทราบถึงปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือมีอิทธิพลต่อเรื่องที่ให้ความสนใจการสัมภาษณ์ในลักษณะนี้นอกจากจะซักถามเกี่ยวกับความเชื่อ หรือความคิดเห็นในเรื่องหนึ่งเรื่องใดแล้ว ยังต้องซักถามถึงเหตุผลที่ทำให้เขามีความเชื่อหรือคิดเห็นเช่นนั้นด้วย
2.3 การสัมภาษณ์แบบมีจุดสนใจโดยเฉพาะ (Focus Interview) เป็นการสัมภาษณ์ที่ผู้วิจัยมีจุดสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะอยู่แล้ว ผู้สัมภาษณ์จะต้องพยายามดึงหรือนำการสนทนาให้เข้าสู่ในกรอบของประเด็นที่กำหนดไว้โดยไม่ให้ผู้ถูกสัมภาษณ์เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ 2.4 การสัมภาษณ์ซ้ำ (Repeated Interview) ในการศึกษาวิจัยบางโครงการอาจต้องกระทำการสัมภาษณ์ซ้ำ โดยเฉพาะโครงการที่มุ่งศึกษาถึงความเปลี่ยนแปลงของกลุ่มตัวอย่างว่ามีกระบวนการเป็นเช่นไร
หลักของการสัมภาษณ์ 1. กำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจน 2. กำหนดขั้นตอนในการสัมภาษณ์ 3. เตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อม 4. การคัดเลือกและฝึกอบรมพนักงานสัมภาษณ์ 5. การคัดเลือกผู้สัมภาษณ์ให้เหมาะสม 6. การสร้างบรรยากาศในการสัมภาษณ์ 7. ภาษาที่ใช้ในการสัมภาษณ์ 8. การจดบันทึกการสัมภาษณ์
ข้อได้เปรียบของการสัมภาษณ์ 1. ได้ข้อมูลครบถ้วนตามจำนวนที่ต้องการ 2. ข้อมูลที่ได้มีความถูกต้องและน่าเชื่อถือ 3. การสัมภาษณ์สามารถใช้วิธีการและเครื่องมืออื่นๆ เข้าช่วยเพื่อให้การศึกษามีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ข้อจำกัดในการสัมภาษณ์ข้อจำกัดในการสัมภาษณ์ 1. ความสิ้นเปลือง 2. ผลสำเร็จของการสัมภาษณ์ขึ้นอยู่กับพนักงานสัมภาษณ์ 3. การสัมภาษณ์อาจก่อให้เกิดความลำเอียงขึ้นได้ง่าย