380 likes | 570 Vues
เศรษฐศาสตร์การคลัง : ด้านรายรับของรัฐบาล. รศ. ดร. สกนธ์ วรัญญูวัฒนา คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. บทนำ ความเข้าใจพื้นฐานเรื่องภาษี. สัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อ GDP ปี 2553. ที่มา : สศค. บทนำ.
E N D
เศรษฐศาสตร์การคลัง: ด้านรายรับของรัฐบาล รศ. ดร. สกนธ์ วรัญญูวัฒนา คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
บทนำความเข้าใจพื้นฐานเรื่องภาษีบทนำความเข้าใจพื้นฐานเรื่องภาษี
สัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อ GDP ปี 2553 ที่มา: สศค.
บทนำ • ภาษีเป็นเครื่องมือทั้งทางเศรษฐศาสตร์และทางการเมืองในการกำกับและบริหารนโยบายของรัฐ เพราะการเก็บภาษีต้องอาศัยกลไกทางการเมืองในการสนับสนุนออกเครื่องมือและวิธีการจัดเก็บภาษีกับประชาชน • การออกแบบภาษีต่างๆ ต้องอาศัยทั้งความรู้ทางเศรษฐศาสตร์และการยอมรับทางการเมืองในการบังคับใช้ ซึ่งหากไม่ระมัดระวังอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองได้
บทนำ • วิชานี้จะศึกษาทั้งปัจจัยทางเศรษฐศาสตร์และปัจจัยเชิงสถาบัน อาทิ การเมือง กฎหมาย และทางสังคม ในการบังคับใช้ภาษีกับประชาชน • ศึกษาภาพรวมโครงสร้างภาษีของประเทศไทย • ความหมายของความเป็นธรรมทางเศรษฐศาสตร์ของภาษีประเภทต่างๆ • ศึกษาความสำคัญของภาษีประเภทต่างๆ และผลที่มีต่อการตัดสินใจของประชาชน
ความหมายของภาษี • ทางเศรษฐศาสตร์ ภาษีอากร คือสิ่งที่ภาครัฐบังคับเก็บจากประชาชน เพื่อใช้เป็นประโยชน์ส่วนรวม โดยไม่ได้มีสิ่งตอบแทนโดยตรงแก่ผู้เสียภาษีอากร หรืออีกความหมาย คือ เงินได้หรือทรัพยากร ที่เคลื่อนย้ายจากเอกชนไปสู่รัฐบาล แต่ไม่รวมถึงการกู้ยืมหรือขายสินค้า หรือให้บริการในราคาทุนโดยรัฐบาล วัตถุประสงค์ในการเก็บภาษี เพื่อหารายได้ให้พอกับค่าใช้จ่ายของรัฐบาล เพื่อการกระจายรายได้ เพื่อควบคุมการบริโภคของประชาชน เพื่อการชำระหนี้สินของรัฐบาล หรือสนองนโยบายธุรกิจ และการคลังของรัฐบาล แหล่งที่มาจาก Wikipedia
อัตราภาษีเฉลี่ย vs. อัตราภาษีส่วนเพิ่มAverage and marginal tax rates • หลักพื้นฐานในการกำหนดอัตราภาษี • marginal tax rateคือการคิดอัตราภาษี ส่วนเพิ่ม (ร้อยละ) จากรายได้หรือฐานภาษีที่เพิ่มขึ้น • average tax rateคือการคำนวณหาสัดส่วนของภาษีที่จ่ายจากฐานภาษีรวมทั้งหมด
วิธีการจัดเก็บภาษี • การจัดเก็บภาษีต้องประกอบด้วย • รายได้ภาษี = ฐานภาษี X อัตราภาษี • อัตราภาษีมี 3 ประเภท • ก้าวหน้า (Progressive Rate) MTR > ATR • สัดส่วนคงที่ (Proportional Rate) MTR = ATR • ถดถอย (Regressive Rate) MTR< ATR
ตัวอย่างประเภทอัตราภาษีประเทศไทย (เดิม) ที่มา: โครงสร้างภาษีเงินได้ กรมสรรพากร
จากตาราง พบว่าโครงสร้างภาษีเงินได้ประเทศไทยมีความเป็นอัตราก้าวหน้า เพราะมี MTR > ATR ในทุกระดับชั้นรายได้
ประเภทของภาษี • จำแนกตามภาระที่เกิดขึ้น • ภาษีทางตรง (Direct Tax) • ภาษีทางอ้อม (Indirect Tax) • ประเภทของภาษีสามารถจำแนกได้ตามฐานของการจัดเก็บ โดยทั่วไปแบ่งออกได้เป็น: • ฐานจากการหาเลี้ยงชีพ (Earning base) (ในประเทศกำลังพัฒนามักไม่นิยมใช้) • ฐานจากการหารายได้ (Income Base) • ฐานจากการบริโภค (Consumption Base) • ฐานจากความมั่งคั่ง/ทรัพย์สิน (Wealth/Properties Base) • ฐานอื่นๆ • ภาษีต่อหัว (Poll Tax)
ประเภทของฐานภาษี (กรณีประเทศไทย) • ฐานรายได้ (Income Base) • ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา • ภาษีเงินได้นิติบุคคล • ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม • ฐานการบริโภค (Consumption Base) • ภาษีการใช้จ่าย (Expenditure Tax) • ภาษีการขาย (Sale Tax) • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax) • ภาษีสรรพสามิต (Excise Taxes) (ภาษีการขายเฉพาะ) • ภาษีการค้าระหว่างประเทศ (International Trade Taxes) • ฐานทรัพย์สิน (Wealth Base) • ภาษีโรงเรือนและที่ดิน • ภาษีบำรุงท้องที่ • ค่าธรรมเนียมการโอนนิติกรรมที่ดินและอสังหาริมทรัพย์
ภาษีอากรที่ดีควรมีลักษณะภาษีอากรที่ดีควรมีลักษณะ • มีประสิทธิภาพ (Economic Efficiency) คือไม่ก่อให้เกิดการบิดเบือนทางเศรษฐกิจ • Behavior effects, Financial effects, Organizational effects, General Equilibrium Effects, Announcement Effects • มีความเป็นธรรม (Fairness) ต้องเก็บให้ทั่วถึงและเก็บตามกำลังความสามารถของผู้เสียภาษี ตลอดจนพิจารณาถึงผลประโยชน์ที่ผู้เสียภาษีได้รับเนื่องจากการดูแลคุ้มครองของรัฐบาล • Horizontal vs. Vertical Equity • มีความแน่นอน และชัดเจน (Certainty) จะต้องมีความชัดเจน ผู้เสียภาษีสามารถเข้าใจความหมายได้ง่าย รู้ว่าใครบ้างจะต้องเสียภาษี เสียเท่าไร เสียอย่างไร และอาศัยฐานอะไร อัตราเท่าไร รวมถึงการมีนโยบายที่แน่นอนในการจัดเก็บภาษีไม่เปลี่ยนแปลงบ่อยๆ • ง่ายในการบริหาร (Administrative Simplicity) มีความสะดวกในการจัดเก็บ และสะดวกในการเสียภาษีของผู้เสียภาษีด้วย • ตอบสนองทางการเมือง (Political Responsibility) มีความโปร่งใส • มีความยืดหยุ่น (Flexibility) เปลี่ยนแปลงได้ง่ายตามสภาพการณ์ของเศรษฐกิจ
1.ความมีประสิทธิภาพของภาษี (Economic Efficiency) • ผลของภาษีในเชิงพฤติกรรมที่ไม่บิดเบือนการตัดสินใจ เช่นการพักผ่อนกับการทำงาน การเก็บภาษีกับการทำงานของคู่สมรส • ผลต่อการเงิน คือการเลือกการใช้เงินเพื่อการบริโภคหรือการลงทุน รวมทั้งประเภทของการลงทุน เช่นประกันชีวิตกับการฝากเงินกับสถาบันการเงิน • ผลต่อองค์กร เช่นการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์หรือการเก็บเงินสดของนิติบุคคล
2. ความเป็นธรรมในการเก็บภาษี • ความเป็นธรรมของภาษีมีนัยสำคัญต่อประชาชนผู้จ่ายภาษีทั่วไป ในทุกๆ ประเทศ ตัวอย่าง • “poll tax” ในปี 1990 ของอังกฤษ • คำถามอะไรคือความเป็นธรรมระหว่างประชาชน • การวิเคราะห์ความเป็นธรรม (Equity) ในการเสียภาษีแตกต่างจากการพิจารณาความมีประสิทธิภาพ เพราะหากต้องการวัดความธรรมต้องพิจารณา สวัสดิการระหว่างบุคคล (interpersonal Utility) หลังจัดเก็บภาษีที่เป็นนามธรรมซึ่งทำได้ยากในทางปฏิบัติ จึงทำให้หันมานิยมใช้ความเป็นธรรมของรายได้หรือรายจ่ายแทน
การวัดความเป็นธรรมของระบบภาษีอัตราแท้จริง กับอัตราที่กำหนด Effective vs. statutory rates • เป็นความแตกต่างที่สำคัญระหว่างอัตราภาษีที่กำหนดตามกฎหมายหรือระเบียบการจัดเก็บ กับอัตราภาษีที่ผู้จ่ายรับภาระที่แท้จริง • อัตราที่กำหนด Statutory tax ratesคืออัตราภาษีที่ถูกระบุไว้ในกฎหมายหรือระเบียบการจัดเก็บ เช่นอัตราภาษีเงินได้ขั้นต่ำกำหนดที่ร้อยละ 10 ของเงินได้สุทธิ และเพิ่มจนถึงขั้นสูงสุดที่ร้อยละ 37 • อัตราภาษีที่แท้จริง Effective tax ratesคืออัตราภาษีที่ผู้เป็นเจ้าของเงินได้จ่ายจริง • อัตราภาษีทั้งสองประเภทแตกต่างกัน เพราะมีการยกเว้น ลดหย่อนในการเสียภาษี ทำให้ลดขนาดของฐานภาษีที่แท้จริงลง
ความเป็นธรรมของระบบภาษี:Vertical and horizontal equity • Vertical equity is the principle that groups with more resources should pay higher taxes than groups with fewer resources. • Could be motivated by utilitarian Social Welfare Function, that calls for redistribution. • Horizontal equity is the principle that similar individuals who make different economic choices should be treated similarly by the tax system. • In reality, horizontal inequities are hard to define, because the person endogenously made a choice to earn more or less.
ความเป็นธรรมแนวนอน (Horizontal Equity) • หากบุคคลมีความเหมือนกันไม่ว่าพิจารณาจากแง่ใดๆ ก็ต้องได้รับการปฏิบัติที่เหมือนกันทุกประการ • ปัญหา:อะไรคือความเหมือนกันทุกประการ • เชื้อชาติ อายุ เพศ ฯลฯ • รสนิยม • การบริโภค • ต้นทุนเสียโอกาส
ความเสมภาคแนวดิ่ง (Vertical Equity) • หากบุคคลมีความแตกต่างกัน ดังนั้นจำนวนภาษีที่ต้องเสียย่อมแตกต่างกัน • เป็นการเสียภาษีตามหลัก ความสามารถในการจ่าย (Ability-to-Pay) • ปัญหา: การวัดความแตกต่างระหว่างบุคคลทำได้ด้วยฐานคิดอะไร • การบริโภคนำไปสู่ประเด็นการส่งเสริมการออม C+S = Y • รายได้ • รายได้ตลอดชั่วอายุขัย (Lifetime Income)
รายได้ตลอดชั่วอายุขัย (Lifetime Income) Y* = W0 + W1/(1+r) ซึ่งหากไม่มีการกู้ยืมหรือการออม Y* = C0 + C1/(1+r)
ทางเลือกในการวัดความไม่เท่าเทียมแนวตั้งทางเลือกในการวัดความไม่เท่าเทียมแนวตั้ง • การวัดจากผลประโยชน์ที่ได้รับ (Benefit Approach) • เป็นการเลือกใช้ระดับผลประโยชน์แทนการพิจารณาจากการบริโภค ที่มีข้อจำกัดของประเภทการบริโภคที่สะท้อนต้นทุนเสียโอกาสที่วัดได้ยาก โดยหันมาพิจารณาจากการได้ประโยชน์แทน • โดยเฉพาะกรณีที่เป็นสินค้าสาธารณะ
การวัดความเป็นธรรมของระบบภาษี: การวัด vertical equity • วิธีการวัดความเท่าเทียมแนวตั้ง ทำได้โดย • ภาษีอัตราก้าวหน้า progressivetax system is one in which effective average tax rates rise with income. • ภาษีอัตราแบบสัดส่วนproportional tax system is one in which effective average rates do not change with income, so that everyone pays the same proportion of their income in taxes. • ภาษีอัตราถดถอย regressivetax system is one in which effective average tax rates fall with income.
ความง่ายในการบริหาร (Administrative Simplicity) • ต้นทุนในการเสียภาษี • ต้นทุนทางตรง (Direct Cost) คือต้นทุนหน่วยงานในการจัดเก็บภาษี • ต้นทุนทางอ้อม (Indirect Cost) คือต้นทุนของผู้เสียภาษี • ต้นทุนในการทำบัญชี และเก็บรวบรวมเอกสารต่างๆ • ความยุ่งยากหรือต้นทุนการเสียภาษีเกิดจาก • ความยุ่งยากโครงสร้างภาษี อัตราที่มีหลายอัตรา หรือการมีรายการยกเว้นลดหย่อนมากในโครงสร้างภาษี • ต้นทุนในการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเสียภาษี ระบบ IT
ตอบสนองทางการเมือง (Political Responsibility) • ความโปร่งใสของการจัดเก็บภาษี การที่สามารถตรวจสอบได้ • การมีธรรมาภิบาลในการเก็บภาษี
ความคล่องตัว (flexibility) • กลไกที่เป็น Automatic Stabilizer • ความสามารถในการตอบสนองต่อความผันผวนได้ทันท่วงที • การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีกับการยอมรับทางการเมือง
ภาษีจากการหาเลี้ยงชีพ (earning Tax) • มักเรียกว่า payroll taxคือภาษีที่เรียกเก็บจากรายได้จากการทำงานของบุคคล
ภาษีจากเงินได้บุคคลธรรมดาภาษีจากเงินได้บุคคลธรรมดา • เป็นการจัดเก็บภาษีจากรายได้ประเภทต่างๆ ที่แต่ละบุคคลสามารถหามาได้ ประกอบด้วย • ภาษีบุคคลธรรมดา Individual income taxคือภาษีที่เก็บจากรายได้ของบุคคลธรรมดาที่ได้รับสะสมตลอดช่วงเวลาหนึ่ง (หนึ่งปี) • ตัวอย่าง เช่น รายได้จากดอกเบี้ย เงินปันผลจากการลงทุน • ภาษี Capital gainsคือรายได้ส่วนเพิ่มจากการถือสินทรัพย์ • ตัวอย่างหุ้น พันธบัตร บ้าน ที่ดิน ฯลฯ
ภาษีเงินได้นิติบุคคล • ภาษีเงินได้นิติบุคคลcorporate income taxเก็บจากการรายได้/กำไรจากการประกอบการของบริษัทหรือนิติบุคคล • เหตุผลในการเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล เพราะหากไม่มีการจัดเก็บผลกำไรของบริษัท/นิติบุคคลของผู้ที่เป็นเจ้าของบริษัทจะไม่ถูกเรียกเก็บภาษีเลย
ภาษีเก็บจากความมั่งคั่งภาษีเก็บจากความมั่งคั่ง • เป็นภาษีที่เก็บจากการสะสมความมั่งคั่งของประชาชน • Wealth taxesเก็บจากมูลค่าของทรัพย์สินที่ถือโดยประชาชนหรือครอบครัว • ตัวอย่าง เช่นที่ดิน อาคารโรงเรือนต่างๆ หุ้น • ภาษีทรัพย์สิน เป็นตัวอย่างที่ดีของภาษีในกลุ่มนี้ Property taxesในหลายประเทศมีการจัดเก็บจากมูลค่าของที่ดิน อาคารที่ตั้งอยู่บนที่ดิน
ภาษีจากการบริโภค • ถือเป็นภาษีที่มีการใช้ที่แพร่หลายมากที่สุดในทุกๆ ประเทศ มีกรใช้อยู่หลายประเภทด้วยกัน ได้แก่ • ภาษีการบริโภค Consumption taxเป็นภาษีที่จัดเก็บจากการจ่ายเพื่อการบริโภคสินค้า/บริการของประชาชนหรือครัวเรือน ตัวอย่าง ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีการค้า • ภาษีการขาย Sales taxesเป็นภาษีที่จ่ายโดยผู้บริโภคให้แก่ผู้ขาย ณ จุดที่มีการขาย • ภาษีสรรพสามิต excise taxเป็นภาษีที่จ่ายโดยผู้บริโภคจากการบริโภคสินค้า/บริการบางประเภทที่มีการกำหนดไว้ เช่นบุหรี่ สุรา สถานบันเทิง ฯลฯ
ประเภทของภาษี • Payroll, income, and wealth taxes เรียกว่าภาษีทางตรง เพราะเป็นการเรียกเก็บจากความเป็นเจ้าของทรัพยากรที่อยู่ในมือของประชาชนโดยตรง • Consumption taxes เรียกว่าภาษีทางอ้อม เพราะเป็นการเรียกเก็บจากการใช้ทรัพยากรของผู้เสียภาษีแทนที่จะเป็นการเก็บจากขนาดความเป็นเจ้าของทรัพยากร
ความเท่าเทียมของภาษีกับมิติทางการเมืองความเท่าเทียมของภาษีกับมิติทางการเมือง • นักวิชาการเห็นพ้องว่าความไม่เท่าเทียมแนวตั้ง จะทำได้ต้องมีการจัดเก็บภาษีในอัตราแบบก้าวหน้า • แต่นักการเมืองมักเห็นว่าความเท่าเทียมจะต้องเลือกหรือเป็นไปตามวาระทางการเมือง • แต่นักเศรษฐศาสตร์เห็นว่าควรใช้สวัสดิการของระหว่างบุคคล