1 / 34

การศึกษาตัวแปรที่ส่งผลต่อการมุ่งวิจัย เพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการของอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำเสนอ รศ.ดร.ดิลก บุญเ

การศึกษาตัวแปรที่ส่งผลต่อการมุ่งวิจัย เพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการของอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำเสนอ รศ.ดร.ดิลก บุญเรืองรอด โดย ประสิทธิ์ เวชบรรยงรัตน์ นิสิตปรัชญาดุษฎีบัณฑิต(การจัดการเทคโนโลยี)มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา วันที่ 27 สิงหาคม 2549.

jory
Télécharger la présentation

การศึกษาตัวแปรที่ส่งผลต่อการมุ่งวิจัย เพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการของอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำเสนอ รศ.ดร.ดิลก บุญเ

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. การศึกษาตัวแปรที่ส่งผลต่อการมุ่งวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการของอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำเสนอ รศ.ดร.ดิลก บุญเรืองรอด โดย ประสิทธิ์ เวชบรรยงรัตน์ นิสิตปรัชญาดุษฎีบัณฑิต(การจัดการเทคโนโลยี)มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา วันที่ 27 สิงหาคม 2549

  2. ปริญญานิพนธ์ ของ วินัย ดำสุวรรณ เสนอต่อมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ปริญญาวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สาขาการวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ประยุกต์ พ.ศ.2542

  3. ความเป็นมาและความความสำคัญของปัญหาความเป็นมาและความความสำคัญของปัญหา • การวิจัยเป็นกระบวนการทำงานที่นำไปสู่การค้นพบสิ่งใหม่ ซึ่งให้ผลลัพธ์ทั้งในเชิงแก้ ปัญหาและพัฒนาเชิงรุก ประเทศใดที่มีนักวิจัยผลิตผลงานวิจัยได้อย่างมีคุณภาพ ในปริมาณที่มากพอภายใต้กระบวนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพย่อมหมายถึงประเทศนั้นมีความ ก้าวหน้าเป็นผู้นำทางวิทยาการ สามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ให้เอื้อต่อการพัฒนาประเทศของตนได้ดังนั้นนักวิชาการจึงให้ความสนใจต่อข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทำงานวิจัยของแต่ละประเทศว่ามีลักษณะอย่างไร ข้อมูลที่สำคัญเหล่านั้นสรุปเป็นตัวบ่งชี้ความก้าวหน้าทางวิทยาการ สามตัวบ่งชี้ คือ ปริมาณผลงานวิจัย คุณภาพงานวิจัย และประสิทธิภาพการทำงานวิจัย ตัวบ่งชี้ทั้งสามนี้ช่วยให้เห็นภาพจุดเด่นจุดด้อยในเชิงเปรียบเทียบระหว่างประเทศ เกี่ยวกับกระบวนการทำงาน

  4. ปัญหาเชิงวิจัย • เพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการของอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิจัยในสาขาเกษตร สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสาขาสังคมศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ มีความแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด • ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการมุ่งวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ ซึ่งประยุกต์มาจากแบบจำลองทฤษฎีควบคุมสำหรับการจูงใจในการทำงานของ ไคลน์ (Klein.1989) มีความเหมาะสม พอดีกับการมุ่งวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ ของอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เพียงใด • แบบจำลองเชิงสาเหตุของการมุ่งวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ ที่สอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ของอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ควรมีลักษณะอย่างไร

  5. วัตถุประสงค์ของการวิจัยวัตถุประสงค์ของการวิจัย • เพื่อศึกษามุ่งการวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ ของอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งทำวิจัยในสาขาที่แตกต่างกัน • เพื่อศึกษาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ ของปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการมุ่งวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ ของอาจารยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งประยุกต์รูปแบบความสัมพันธ์มาจาก แบบจำลองทฤษฎีควบคุมสำหรับการจูงใจในการทำงานของไคลน์ (Klein.1989) • เพื่อสร้างแบบจำลองความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ สำหรับการอธิบายพฤติกรรมการมุ่งวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ

  6. ขอบเขตการวิจัย • ประชากรในการวิจัย คือ อาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน และวิทยาเขตกำแพงแสน ที่มีรายชื่ออยู่ในทะเบียนประวัตินักวิจัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปี 2537 • ข้อมูลที่รวบรวมจากเอกสาร และการสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง จะเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นจริง และมีหลักฐานยืนยันในระหว่างปี พ.ศ. 2538 – 2540 ส่วนเป้าหมายอรรถประโยชน์ของการวิจัย และการมุ่งวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ ของอาจารย์มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ กำหนดเวลาให้อยู่ระหว่างปี พ.ศ.2541 – 2543

  7. ความสำคัญของการศึกษาวิจัยความสำคัญของการศึกษาวิจัย • ได้แนวทางการประยุกต์ ทฤษฎีควบคุมและแบบจำลองทฤษฎีควบคุมสำหรับการจูงใจในการทำงาน ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ทางพฤติกรรมศาสตร์ มาใช้ในการวิจัยอย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับบริบทการทำงาน ของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยไทย • ผลที่ได้จากการวิจัยจะเป็นข้อมูลสำคัญในการปรับปรุงนโยบายและแผนงานวิจัยสำหรับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัย อื่น ๆ ที่เน้นการวิจัยเพื่อมุ่งวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ • ก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ในการอธิบาย การมุ่งวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ ด้วยวิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์

  8. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย • ตัวแปรในทางพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งผู้วิจัยกำหนดขึ้นเพื่อศึกษาการมุ่งวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ คือ ความตั้งใจ (Intention) ความตั้งใจเป็นสภาวะทางจิตที่นักจิตวิทยาให้ความสนใจค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้แนวทางการอธิบายพฤติกรรมมนุษย์ได้มากขึ้น มนุษย์ใช้ความตั้งใจเป็นตัวกำกับพฤติกรรม บุคคลที่มีการกระทำสอดคล้องกับความตั้งใจจะสามารถรับผิดชอบต่อพฤติกรรมและผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้นได้(Stevens and Fiske.1994:675)

  9. ในทางพระพุทธศาสนา พระธรรมปิฎก (2538: 431) แปลคำว่า intention หมายถึง สังกัปปะ อธิปปายะ และเจตนา เพื่อขยายความเจตนาได้ความว่าเป็นความตั้งใจ ความมุ่งใจหมายจะทำ เจตน์จำนง ความจำนง ความจงใจ เป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง เป็นตัวนำในหารคิดปรุงแต่ง หรือเป็นประธานในสังขารขันธ์ และเป็นตัวการในการทำกรรม หรือกล่าวได้ว่าเป็นตัวกรรมทีเดียว ตัวพุทธพจน์ที่ว่า “เจตนาหํ ภิกขเว กมมํ วทามิ” แปลว่า เรากล่าวเจตนาว่า เป็นกรรม (พระราช วรมุนี.2527: 48) จะเห็นได้ว่าแนวคิดทางพระพุทธศาสนา สรุปความตั้งใจเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้มนุษย์เกิดการกระทำหรือมีพฤติกรรม ซึ่งนับว่าแนวคิดทางจิตวิทยาตะวันตกอธิบายความตั้งใจ ในทำนองเดียวกับหลักการทางพุทธศาสนา

  10. ฟิสค์ (Fiske.1993) อธิบายลักษณะความตั้งใจว่าประกอบด้วยเงื่อนไขสามประการ คือ ประการแรก บุคคลต้องมีสิทธิในการเลือก(option) และมองเห็นตัวเลือกท่ามกลางวีถีทางต่าง ๆ ที่มีอยู่ ประการที่สอง บุคคลต้องเลือกตามวิถีทางที่มีอยู่ทางใดทางหนึ่ง ความตั้งใจจะชัดเจนเมื่อบุคคลเลือกแนวทางที่ไม่ถูกบังคับหรือยากลำบาก ประการสุดท้ายทำให้ทางเลือกนั้นง่ายขึ้นโดยการทุ่มเอาใจใส่(attention) อย่างจริงจัง ฟิสค์ เห็นว่า การมุ่งทำงานวิจัยอย่างมีทิศทาง สามารถ และมองเห็นแนวทางที่เหมาะกับตนท่ามกลางวิถีทางอื่น ๆ อีกมาก อธิบายได้เช่นเดียวกับการตั้งใจ กล่าวคือ นักวิจัยมีสิทธิเลือกแนวทางวิจัย เมื่อเลือกแล้วทุ่มเทเอาใจใส่ก็จะถึงเป้าหมายที่กำหนด

  11. การอธิบายมุ่งวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ ในฐานะตัวแปรตามให้มีความชัดเจน และเชื่อมโยงตัวแปรอิสระอื่น ๆ ได้อย่างสมเหตุสมผลจำเป็นต้องอาศัยแบบจำลอง และทฤษฎีทางจิตวิทยาเข้ามาช่วย ผู้วิจัยเริ่มต้นจากแบบจำลองความตั้งใจเชิงพฤติกรรม เพื่อนำเข้าสู่การอธิบายความตั้งใจตามแนวทฤษฎีควบคุม และสร้างกรอบแนวคิดในการวิจัยด้วยการประยุกต์ตัวแปรจากแบบจำลองทฤษฎีควบคุมของแรงจูงใจในการทำงาน

  12. แบบจำลองพฤติกรรมการทำงานด้วยความมุ่งมั่นแบบจำลองพฤติกรรมการทำงานด้วยความมุ่งมั่น • เส้นศึกษาความตั้งใจในแง่ที่เป็นตัวแปรซึ่งเกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ กล่าวคือ นักวิจัยจะถือความตั้งใจเป็นจุดหมายในการจูงใจ เช่นเดียวกับการกำหนดเป้าหมาย(Campbell and Pritchard) 1976: 110) งานวิจัยบางเรื่องใช้เป้าหมายและความตั้งใจแทนกัน ลอคและทาแทม (Lock and Lantham.1990) เห็นว่าความตั้งใจและเป้าหมายต่างก็เป็นตัวแปรทางด้านความรู้คิดที่มีลักษณะแตกต่างกันชัดเจน โดยความตั้งใจเป็นลักษณะของแผนการกระทำ ในขณะเป้าหมายสะท้อนถึงวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายของการกระทำซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของทับส์และอิเคเบรก์ (Tubbs and Ekeberg.1991:181)ที่กล่าวว่าเป้าหมายและความตั้งใจไม่ใช่สิ่งที่แทนกันได้ แต่ก็ไม่ แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง ความตั้งใจของเขตมากกว่าเป้าหมาย(Irwin.1971) กล่าวถึง ความตั้งใจทั้งที่เป็นผลลัพธ์และการกระทำ

  13. แนวคิดของทับส์และอิเคเบอรก์ (Tubbs and Ekeberg.1991) ได้เสนอแบบจำลองพฤติกรรมการทำงานด้วยความมุ่งมั่น (Model of Intentional Work Behavior) แบบจำลองพฤติกรรมการทำงานด้วยความมุ่งมั่น คือ เน้นความตั้งใจในลักษณะของการมุ่งกระทำที่เป็นโครงสร้างทางความคิด ซึ่งมีวิถีและเป้าหมายอยู่ด้วยกัน และขยายความการมุ่งกระทำไว้ในสามประเด็นสำคัญ

  14. การมุ่งกระทำเมื่อเป็นทั้งวิถีและเป้าหมาย โครงสร้างของการมุ่งกระทำตามแนวคิดมี 2 แบบ คือ โครงสร้างแนวดิ่ง และแนวราบ โครงสร้างแนวดิ่งนิยามการมุ่งกระทำที่อยู่ในระดับต่ำกับระดับสูงต่างกัน เช่น การมุ่งการทำงานเพื่อสร้างความสำเร็จในชีวิต ที่ตั้งใจทำงานไปเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อผลแห่งความสำเร็จ จะต่างกับ การมุ่งทำโครงการใหม่ให้เสร็จภายในวันศุกร์ ที่แสดงความตั้งใจที่เฉพาะเจาะจงและมีที่สิ้นสุด อย่างแรกมุ่งในระดับสูง อย่างหลังมุ่งระดับต่ำ สำหรับแนวนอนจะมีความแตกต่าง มุ่งทำโครงการให้เสร็จเรียบร้อย เช่น กีฬาภายในหน่วยงาน โครงสร้างแนวราบอาจกระทำในช่วงเวลาเดียวกันได้ การทำทั้งแนวดิ่งและแนวราบเป็นการมุ่งกระทำเป็นทั้ง วิถี และเป้าหมาย (Means and End)

  15. การทำงานจะมีประสิทธิผลมากที่สุด เมื่อบุคคลมีความชำนาญในการรักษาระดับความตั้งใจที่เหมาะสม การมีมนสิการ (attention) เพียงชั่วขณะจะเป็นตัวชี้นำการมุ่งกระทำเพียงระดับเดียวของลำดับขั้น (Heirachy)ทั้งหมด ทับส์และอิเคเบอรก์ (Tubbs and Ekeberg. 1991:184) เรียกว่า การมุ่งกระทำให้มีผลในปัจจุบัน การกระทำลักษณะนี้อาจเป็นความตั้งใจที่ดีเลิศได้ เมื่อ 1) บุคคลถูก โน้มน้าวให้เปรียบเทียบการกระทำที่ผ่านมากับมาตรฐานเชิงนามธรรม ที่สูงกว่า และ 2) บุคคลแปลความหมายของมาตรฐานเป้าหมายที่สูงกว่าคล้ายหรือใกล้เคียงกับการกระทำของตน

  16. การมุ่งกระทำเป็นทั้งจุดหมายและแผนปฏิบัติการ การกระทำบางอย่างของบุคคลอาจไม่มีจุดหมายที่แน่ชัด แต่การมุ่งกระทำมีลักษณะใกล้เคียงกับจุดหมาย ส่วนแผนปฏิบัติการถือว่าเป็นตัวแปรขั้นสูงที่ทำให้บุคคลทำพฤติกรรม บางครั้งบุคคลมีจุดหมายในการทำงานแต่ขาดแผนปฏิบัติการ การมุ่งกระทำที่ต้องการให้เกิดประสิทธิผลในงานจึงต้องได้รับการชี้แนะจากความรู้คิดที่เป็นจุดมุ่งหมายและแผนปฏิบัติการที่อยู่ในรูปของความประสงค์(Wish) หรือความปรารถนา(Desire)

  17. การมุ่งกระทำในฐานะเป็นหน่วยตัวเลือก นักจิตวิทยาหลายท่าน (Ajzen. 1985;Kuhl.1985;Nayor and Ilgen.1984) เห็นว่าจุดเน้น และผลของกระบวนการตัวเลือก คือ ภาพรวมของการมุ่งกระทำ ซึ่งอธิบายได้ด้วยทฤษฎีความคาดหวังและคุณค่า (Expectancy and valence) และทฤษฎีภาพพจน์(Image Theory)

  18. การวัดความตั้งใจเชิงพฤติกรรมการวัดความตั้งใจเชิงพฤติกรรม • ทฤษฎีความคาดหวังและคุณค่าอธิบายตัวเลือกว่าเป็นฟังชั่นของความคาดหวังและคุณค่าซึ่งเป็นฐานทำให้เกิดพลังจูงใจมากที่สุด และอยู่ภายในบุคคลที่เป็นตัวผลักดันไปสู่เป้าหมาย ในขณะที่เป้าหมาย เป็นสิ่งที่ทำให้บุคคลรู้ว่าพยายามทำเพื่ออะไร ทำให้ตั้งใจกระทำเพื่อเกิดผลตามเป้าหมายนั้น การเชื่อมโยงอย่างต่อเนื่องข้างต้น แสดงให้เห็นถึงการมุ่งกระทำเป็นหน่วยของตัวเลือก ทับส์และอิเคเบอรก์ (Tubbs and Ekeberg.1991:187-188)

  19. การวัดความตั้งใจเชิงพฤติกรรมการวัดความตั้งใจเชิงพฤติกรรม • นักวิจัยด้านเจตคติให้ความสำคัญต่อการวัดความตั้งใจเชิงพฤติกรรมหรือการมุ่งกระทำ เพราะเชื่อว่า พฤติกรรมถูกกำหนดโดยตรงจากความตั้งใจของบุคคล เห็นได้จากทฤษฎีพฤติกรรมตามแผนของไอเซน(Ajzen’s theory of planned behavior) ซึ่งอธิบายความตั้งใจเชิงพฤติกรรมเกิดขึ้นจากตัวกำหนด สามตัว คือ 1) เจตคติต่อการทำพฤติกรรม 2) การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง และ 3) การรับรู้การควบคุมพฤติกรรม

  20. จรัส สุวรรณเวลา และคณะ (2534) กล่าวว่า สำหรับอาจารย์มหาวิทยาลัยการทำวิจัยเพียงแค่เห็นผลวิจัยเท่านั้นยังไม่เพียงพอ อาจารย์มหาวิทยาลัยจะต้องมุ่งวิจัยอย่างมีทิศทาง และต้องทุ่มเทเอาใจใส่ในแนววิจัยนั้นอย่างจริงจัง การวิจัยที่ควรกำหนดสำหรับมหาวิทยาลัย มี 3 ทิศทาง คือ 1) การวิจัยเพื่อผลิตความรู้ที่มุ่งสร้างความก้าวหน้าทางวิชาการ 2) การวิจัยที่มุ่งผลิตความรู้เพื่อการแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศ และ 3) การวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ

  21. อาจารย์มหาวิทยาลัยต้องตระหนักให้ความสำคัญต่อการวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชา การ เป็นการวิจัยที่หาความรู้ใหม่ หรือสร้างความแข็งแกร่งทางวิชาการซึ่งหมายถึงการสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในลักษณะศูนย์ของความเป็นเลิศ (Center of excellence)

  22. ในการประชุมครบรอบ 125 ปีของวารสารเนเจอร์ (Nature) ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนธันวาคม 2537 เงื่อนไขสำคัญการวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการของมหาวิทยาลัย มี 7 ข้อ ดังนี้ (Maddox. 1994: 723) 1) ความเป็นเลิศทางวิชาการต้องเป็นเกณฑ์สำหรับการแต่งตั้งเข้าสู่ตำแหน่งวิชาการ และให้เงินตอบแทน 2) ความเป็นเลิศทางวิชาการในการวิจัยจะต้องไม่เป็นข้ออ้างที่มาทำให้การสอน ด้อยคุณภาพ 3) งานวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการจะต้องดำเนินอย่างมีเป้าหมายและได้ รับการประเมินคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ

  23. 4) ประเด็นการวิจัยมีความยืดหยุ่นได้ทั้งระดับคณะ และสาขาวิจัย เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และสนองตอบต่อโอกาสการทำวิจัยในเชิงสหวิทยาการ 5) ศูนย์ของความเป็นเลิศที่ไม่สามารถหานักวิจัยผู้เชี่ยวชาญในประเทศมาประจำได้ ถ้าเป็นไปได้ควรเปิดโอกาสให้นักวิจัยต่างประเทศเข้ามาทำงาน 6) มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญในการเชื่อมโยงเครือข่ายกับต่างประเทศ 7) มหาวิทยาลัยมีอิสระที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้งบประมาณการวิจัย โดยมีหน่วยงานภายนอกที่ทำหนาที่นี้เข้ามาดูแลในระดับภาพรวม

  24. ทบวงมหาวิทยาลัย (2539) ได้กำหนดวัตถุประสงค์ กลยุทธ์ และมาตรการด้านคุณภาพมาตรฐานการศึกษาและความเป็นเลิศทางวิชาการ ในแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาฉบับที่ 8 ดังนี้ 1) สร้างเครือข่ายทางวิชาการระดับสูงสามารถแข่งขันกับนานาประเทศทั่วโลก • สนับสนุนให้มีโอกาสไปทำงานวิจัยในต่างประเทศเพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการประสานภาคเอกชนร่วมมือสร้าง และพัฒนานักวิจัยที่มีความสามารถสูง • ส่งเสริมนักวิจัยที่มีความสามารถสูงให้พัฒนาศักยภาพทางวิชาการอย่างเต็มความสามารถ 2) ส่งเสริมการวิจัยและสร้างองค์ความรู้เพื่อพัฒนาประเทศไปสู่ความเป็นผู้นำในภูมิภาค • พัฒนามหาวิทยาลัยให้มีขีดความสามารถทำวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ในสาขาวิชา • พัฒนาบุคลากรของมหาวิทยาลัยให้มีความพร้อมทั้งวิชาการและการบริหาร เพื่อออกไปปฏิบัติงานในต่างประเทศได้

  25. 3) ส่งเสริมให้มีงานวิจัยที่สามารถตอบสนองต่อการพัฒนาท้องถิ่นและประเทศชาติ • ส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยเป็นฐานของการสร้างองค์ความรู้ใหม่ และความเป็นเลิศทางวิชาการสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศในระยะยาว • ทำวิจัยเชิงแก้ปัญหาเพื่อพัฒนาท้องถิ่นในเชิงปฏิบัติ และขยายสู่กลุ่มเป้าหมาย ส่งเสริมให้นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาได้มีการทำวิจัยร่วมกับอาจารย์และนักวิจัยที่มีชื่อเสียงของประเทศ 4) ส่งเสริมให้มีการวิจัยเพื่อพัฒนาภูมิปัญญาไทย • ส่งเสริมวิจัยภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อพัฒนาให้เป็นภูมิปัญญาไทย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทำแผนพัฒนาการศึกษาฉบับที่ 8 (2540 – 2544) กำหนดวัตถุประสงค์เกี่ยวกับงานวิจัย 2 ข้อ และนโยบายการวิจัย 6 ข้อ

  26. การวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการการวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ • ทฤษฎีควบคุม • ทฤษฎีควบคุมและการจูงใจ • ทฤษฎีควบคุมและข้อมูลป้อนกลับ

  27. วิธีดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลวิธีดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการ 4 วิธี • ฝากส่งและรับคืนทางไปรษณีย์ กลุ่มตัวอย่างปฏิบัติราชการ ณ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม • ฝากนักเรียนถึงผู้ปกครอง โดยบันทึกขออนุญาตอาจารย์ใหญ่โรงเรียนสาธิต ฝากแบบสอบถามผ่านอาจารย์ประจำชั้น • ฝากผ่านสำนักงานเลขานุการคณะ และธุรการภาควิชา โดยระบุชื่อกลุ่มตัวอย่าง มีซองเปล่าพร้อมชื่อผู้วิจัยเพื่อสะดวกในการส่งคืน • ส่งแบบสอบถามด้วนตนเอง เป็นการเก็บข้อมูลเพิ่ม

  28. การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์แบ่งออกเป็น 2 ตอน ดังนี้ • วิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นนำข้อมูลที่เป็นมาตรวัดตัวแปรมาคำนวณหาคุณภาพเครื่องมือวิจัย และวิเคราะห์ลักษณะการกระจายของตัวแปรทั้งหมด โดยใช้สถิติบรรยาย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความเบ้ ความโด่ง ค่าต่ำสุด- ค่าสูงสุด และสัมประสิทธิ์การกระจายของตัวแปรแต่ละตัว • การวิเคราะห์ข้อมูลตอบปัญหาวิจัย นำค่าการวิเคราะห์ตัวแปรมาวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และทำการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยภายในกลุ่มตัวอย่าง เพื่อยืนยันความสอดคล้องกับนิยามเชิงปฏิบัติการและความเป็นไปได้ที่จะใช้ในการวิเคราะห์ความ สัมพันธ์โครงสร้างเชิงเส้น

  29. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล • นำเสนอในรูปแบบตาราง ภาพประกอบความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงเส้น และการบรรยาย ตามหัวข้อ • ลักษณะทางสถิติของตัวแปรที่อธิบายความแปรปรวนของการมุ่งวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ ของอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ • ผลการวิเคราะห์การมุ่งวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ ของอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งทำวิจัยในสาขาที่แตกต่างกัน • ผลการศึกษาตัวแปรที่ส่งผลต่อการการมุ่งวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ ของอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เสนอใน 3 หัวข้อย่อย • ค่าสหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร • การทดสอบความไม่สัมพันธ์กันระหว่างความขัดแย้งระหว่างเป้าหมายการผลิตภาพการวิจัย และการมุ่งวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ ของอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ • การทดสอบความกลมกลืนของแบบจำลองสมมุติฐานเชิงทฤษฎีกับข้อมูลเชิงประจักษ์ • แบบจำลองความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ สำหรับอธิบายพฤติกรรมการมุ่งวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ ของอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

  30. สรุปผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ • ผู้วิจัยนำเสนอสาระสำคัญของการวิจัยในภาพรวม โดยแบ่งออกเป็นบทย่อ ซึ่งประกอบด้วยวัตถุประสงค์ของการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัย และการวิเคราะห์ข้อมูล หลังจากนั้นจะเป็นการนำเสนอสรุปผลการวิจัย อ๓ปรายผล และข้อเสนอแนะ

  31. ข้อเสนอแนะสำหรับงานวิจัยต่อไปข้อเสนอแนะสำหรับงานวิจัยต่อไป • ควรมีการศึกษาผลการปฏิบัติงาน และข้อมูลป้อนกลับจากการทำงานวิจัยควบคู่กับการวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ โดยแบ่งระยะต้นปี และปลายปี เพื่อให้ เป็นแบบข้อมูลจำลองสองคลื่น (Two wave Model) • การประยุกต์ใช้แบบจำลองของไคลน์(Klein .1989) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการทำงานที่เน้นสร้างแรงจูงใจผู้วิจัยต้องสร้างเครื่องมือวิจัย และรายละเอียดของตัวแปรให้สอดคล้องกับบริบทของงานนั้น ๆ เท่านั้น • ควรมีการศึกษาแบบจำลองโครงสร้างเชิงเส้นที่มีผลจาก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างการอนุมานสาเหตุ และความคิดคาดหวังในอรรถประโยชน์ เพิ่มเติมจากการศึกษาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ แบบความสัมพันธ์ทางเดียว

  32. ควรมีการศึกษาบทบาทการมุ่งการวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการในกระบวนการจูงใจตามแบบจำลองของทับส์และอิเคเบอร์ (Tubb and Ekeberg 1991) ซึ่งเน้นการควบคุมการกระทำและผลผลิตจากการทำงาน • ควรมีการสำรวจเจตนารมณ์วิจัยของอาจารย์ จำแนกตามสาขา เพื่อเปรียบเทียบเจตนารมณ์ที่เหมือนและแตกต่างกัน แล้วนำเจตนารมณ์ที่ชัดเจนมาทดสอบความตรงกับแบบจำลองความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ

  33. ปริญญานิพนธ์ ของ วินัย ดำสุวรรณเสนอต่อมหาวิทยาลัยศรีนคนทรวิโรฒ ประสานมิตร เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ปริญญาวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สาขาการวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ประยุกต์ พ.ศ.2542เป็นงานวิจัยที่มีรูปแบบของงานเขียนการวิจัย อยู่ 5 บท คือ บทที่1 บทนำ บทที่2 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย บทที่3 วิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้า บทที่4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ ท้ายเล่มมีบรรณานุกรม ภาคผนวกเป็นเนื้อหาและข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารที่นำมาใช้ในการวิจัยครั้งนี้

  34. ขอบคุณครับ สวัสดี

More Related