1 / 24

การเปลี่ยนสภาพของเซลล์และการชราภาพของเซลล์

การเปลี่ยนสภาพของเซลล์และการชราภาพของเซลล์. เซลล์เมื่อแบ่งตัวแล้วก็จะเปลี่ยนสภาพไป เพื่อทำหน้าที่เฉพาะอย่าง การ แบ่งเซลล์แบบไมโท ซิส ทำให้ได้จำนวนเซลล์เพิ่มมากขึ้น และเป็นผลให้เกิดการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น เกิดกระบวนการต่างๆ 4  กระบวนการ.

kuame-chan
Télécharger la présentation

การเปลี่ยนสภาพของเซลล์และการชราภาพของเซลล์

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. การเปลี่ยนสภาพของเซลล์และการชราภาพของเซลล์การเปลี่ยนสภาพของเซลล์และการชราภาพของเซลล์

  2. เซลล์เมื่อแบ่งตัวแล้วก็จะเปลี่ยนสภาพไป เพื่อทำหน้าที่เฉพาะอย่าง การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสทำให้ได้จำนวนเซลล์เพิ่มมากขึ้น และเป็นผลให้เกิดการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น เกิดกระบวนการต่างๆ 4 กระบวนการ

  3. 1. การเพิ่มจำนวนเซลล์ (cell multiplication) การเพิ่มจำนวนเซลล์ทำให้ได้เซลล์ใหม่มากขึ้นและมีขนาดเพิ่มขึ้น การจะมีเซลล์มากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่ชนิดของสิ่งมีชีวิตนั้นว่ามีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่เท่าใด

  4. 2. การเติบโต (growth) ในสิ่งมีชีวิตที่เป็นเซลล์เดียว เมื่อเซลล์ของสิ่งมีชีวิตแบ่งแซลล์ในตอนแรกเซลล์ใหม่ที่ได้จะมีขนาดเล็กกว่าเซลล์เดียว ในเวลาต่อมา เซลล์ใหม่ที่ได้จะสร้างสารต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ทำให้ขนาดของเซลล์ใหม่นั้นขยายขนาดขึ้น ในสิ่งมีชีวิตพวกที่เป็นหลายเซลล์ผลจากการเพิ่มจำนวนเซลล์ก็คือการขยายขนาดให้ใหญ่โตขึ้น

  5. 3. การเปลี่ยนแปลงของเซลล์เพื่อไปทำหน้าที่ต่างๆ (cell differentiation) เซลล์จะเปลี่ยนแปลงไปเพื่อไปทำหน้าที่ต่างๆ กัน เช่น เซลล์กล้ามเนื้อทำหน้าที่ในการหดตัวทำให้เกิดการเคลื่อนที่หรือเคลื่อนไหว เซลล์ประสาททำหน้าที่ในการนำกระแสประสาทเกี่ยวกับความรู้สึกและคำสั่งต่างๆ เซลล์ภายในร่างกายของเราจะเริ่มต้นมาจากเซลล์เซลล์เดียวกัน แต่มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อไปทำหน้าที่ต่างๆ กันไปเพื่อให้สิ่งมีชีวิตชนิดนั้นๆ สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมต่างๆ กันได้

  6. 4. การเกิดรูปร่างที่แน่นอน (morphogenesis) การเปลี่ยนแปลงของเซลล์เพื่อไปทำหน้าที่ต่างๆ ขบวนการเหล่านี้จะเกิดขึ้นในระยะเอมบริโออยู่ตลอดเวลามีการสร้างอวัยวะต่างๆ ขึ้น อัตราเร็วของการสร้างในแต่ละแห่งบนร่างกายจะไม่เท่ากัน ทำให้เกิดรูปร่างของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดขึ้นโดยที่สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีแบบแผนและลักษณะต่างๆ เป็นแบบที่เฉพาะตัวและไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ

  7. วัฏจักรของชีวิต (Life  Cycle) เริ่มตั้งแต่ การเจริญเติบโต การเปลี่ยนแปลงในทางเสื่อม และสิ้นสุดด้วยการตาย ดังนั้น ช่วงของการมีชีวิต หรืออายุขัยของสิ่งมีชีวิตจึงมีขีดจํากัด ทั้งนี้ เนื่องมาจากการชราของเซลล์ จึงทําให้ร่างกายเสื่อมสภาพในการทํางานและตายในที่สุด 

  8. วัฏจักรชีวิต “ด้านความสำเร็จสูงสุด” ของคนวัฏจักรชีวิต “ด้านความสำเร็จสูงสุด” ของคน เมื่อแรกเกิด             ความสำเร็จสูงสุด คือ สามารถหายใจได้ด้วยตัวเองเมื่ออายุได้ 1 ขวบ    ความสำเร็จสูงสุด คือ สามารถจำคนในบ้านได้ทุกคน เมื่ออายุได้ 2 ขวบ    ความสำเร็จสูงสุด คือ สามารถเดินได้ เมื่ออายุได้ 4 ขวบ     ความสำเร็จสูงสุด คือ  ไม่ฉี่รดที่นอน เมื่ออายุได้ 15 ปี      ความสำเร็จสูงสุด คือ มีเพื่อนฝูงมากมาย เมื่ออายุได้ 20 ปี      ความสำเร็จสูงสุด คือ เรื่องบนเตียง เมื่ออายุได้ 30 ปี     ความสำเร็จสูงสุด คือ มีความมั่นคงในชีวิต เมื่ออายุได้ 50 ปี      ความสำเร็จสูงสุด คือ เรื่องบนเตียง เมื่ออายุได้ 60 ปี      ความสำเร็จสูงสุด คือ  มีเพื่อนฝูงมากมายเมื่ออายุได้ 65 ปี      ความสำเร็จสูงสุด คือ ไม่ฉี่รดที่นอน เมื่ออายุได้ 70 ปี      ความสำเร็จสูงสุด คือ สามารถเดินได้ เมื่ออายุได้ 75 ปี      ความสำเร็จสูงสุด คือ สามารถจำคนในบ้านได้ทุกคน เมื่ออายุได้ 80 ปี      ความสำเร็จสูงสุดคือ  สามารถหายใจได้ด้วยตัวเอง

  9.  การชราภาพของเซลล์เกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่   1. เซลล์มีการสะสมของเสีย เมื่อเซลล์มีอายุมากขึ้น จะมีการสะสมของเสียเพิ่มขึ้น ทําให้มีผลกระทบต่อความอยู่รอดของเซลล์

  10. 2. ยีนที่มีบทบาทกําหนด การตายตามอายุขัย พบว่า ในเซลล์อายุมาก เมื่อมีการแบ่งเซลล์ทุกครั้ง ส่วนปลายของโครโมโซมจะสั้นลง จึงอาจเป็นไปได้ที่ส่วนปลายโครโมโซมมียีนที่ควบคุมการปรับสภาพของเซลล์ 

  11. 3. การสูญเสียหน้าที่ของเซลล์ พบว่า เซลล์ที่มีอายุมาก การทําหน้าที่บางอย่างลดน้อยลง เช่น สังเคราะห์โปรตีนลดลง เป็นผลให้กิจกรรมบางอย่างลดลง เช่น การรับสารเข้าสู่เซลล์ได้น้อย ปฏิกิริยาเคมีลดลงเนื่องจากมีการสร้างเอนไซม์ได้น้อย 

  12.   4. พลังงานน้อยลง เซลล์ที่มีอายุมากจะสร้าง ATP   ได้น้อย ทําให้เซลล์ขาดความว่องไว การทํางานของเซลล์จึงมีประสิทธิภาพน้อยลง 

  13. 5. ปัจจัยภายนอกเซลล์ ได้แก่ อนุมูลอิสระ (Free  Radical)  สารที่ทําให้เกิดอนุมูลอิสระ ทําให้เกิดการผ่าเหล่าของ DNA   (DNA   Mutation)   จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงของโปรตีนบางชนิด สมบัติของเซลล์เปลี่ยนไป ไม่สามารถปรับตัวให้มีความอยู่รอดในสิ่งแวดล้อมได้ สารต้านอนุมูล

  14. ความสัมพันธ์ของระบบในร่างกายของสิ่งมีชีวิตความสัมพันธ์ของระบบในร่างกายของสิ่งมีชีวิต เขียนเป็นแผนผังได้ดังนี้ เซลล์แต่ละเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ ระบบต่างๆ ร่างกาย

  15. เนื้อเยื่อของสัตว์ (animal tissue)  เป็นเนื้อเยื่อที่มีอยู่ในร่างกายทั่ว ๆ ไป ของสัตว์ชั้นสูงต่าง ๆ ( โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง ) ตามปกติแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือเนื้อเยื่อบุผิว (EpithelialtissueorEpithelium)เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ( Connectivetissue )เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ (Musculartissue)เนื้อเยื่อประสาท ( Nervoustissue )

  16. 1. เนื้อเยื่อบุผิว (epithelial tissue) เป็นเนื้อเยื่อที่บุผิวนอกร่างกาย หรือเป็นผิวของอวัยวะ หรือบุช่องว่างภายในร่างกาย โดยเนื้อเยื่อบุผิวจะเรียวตัวอยู่บนเยื่อรองรับฐาน(basement membrane) และผนังด้านบนของเยื่อบุผิว ไม่ติดต่อกับเนื้อเยื่ออื่นๆ ไม่มีเส้นเลือดมาเลี้ยง ได้รับสารอาหาร แก๊สต่างๆ จากการแพร่เยื่อบุผิวจำแนกตามรูปร่างและการจัดระเบียบของเซลล์ ได้ ดังนี้

  17. 1.1 เยื่อบุผิวเรียงตัวชั้นเดียว (simple epithelium) ประกอบด้วยเซลล์รูปร่าง 3 แบบ คือ - เซลล์รูปร่างแบนบาง (simple spuamous epithelium) เช่น เยื่อบุข้างแก้ม หรือเวลล์ • รูปเหลี่ยมลูกบาศก์ (dimplrvunoifslrpiyhrlium) เช่น พบที่ท่อของหลอดไต ทำน้ำดี • เซลล์ทรงสูง (simple columnar epithelium) เช่น พบที่ผนังลำไส้เล็ก ท่อนำไข่ 

  18. 1.2 เยื่อบุผิวเรียงตัวหลายชั้น (stratified epithelium) เป็นเนื้อเยื่อบุผิวที่ประกอบด้วยเซลล์เรียงตัวหลายชั้น ได้แก่1. Stratified squamous epithelium เป็นเนื้อเยื่อบุผิวที่ประกอบด้วยเซลล์ รูปร่างหลายเหลี่ยม แบนบาง เรียงกันหลายชั้น เช่น พบที่ผิวหนัง2. Stratified cuboidal epithelium ประกอบด้วย เซลล์รูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ เรียงตัวหลายชั้น เช่น พบที่ต่อมเหงื่อ3. Stratified columnar epithelium ประกอบด้วย เซลล์รูปทรงกระบอกสูง ตั้งอยู่บนเยื่อบุผิวอื่นๆ เช่น พบที่บางบริเวณของเยื่อบุคอหอย

  19. 1.3 เยื่อบุผิวเรียงตัวหลายชั้นเทียม (pseudostratified epithelium) เป็นเนื้อเยื่อบุผิว ที่ประกอบด้วยเซลล์เรียงตัวเพียงชั้นเดียวบนเยื่อฐานรองรับ แต่ระดับความสูงของเซลล์ต่างๆ ไม่เท่ากัน ทำให้เห็นเหมือนกับว่า เซลล์ซ้อนกันหลายชั้น พบที่ผนังหลอดลม

  20. 1.4 เนื้อเยื่อบุผิวเรียงตัวซ้อนกันหลายชั้นแบบยืดหยุ่น (transitional epithelium) เป็นเนื้อเยื่อบุผิว ที่ประกอบด้วยเซลล์เรียงตัวของเซลล์หลายชั้น โดยที่เซลล์สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ระหว่างเป็นแบบ squamousกับ cuboidal cell ขึ้นอยู่กับสภาพของอวัยวะ เช่น พบที่ผนังชั้นในของกระเพาะปัสสาวะ

  21. 2 . เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue) เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบด้วยเซลล์หลายชนิด แต่ละชนิดทำหน้าที่แตกต่างกันไป เซลล์อยู่กันอย่างหลวมๆ แต่มีเส้นใยมาประสานกันทำให้เกิดความแข็งแรงยิ่งขึ้น เช่น เนื้อเยื่อไขมัน

  22. 3. เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ (muscular tissue) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกายและ อวัยะวะต่างๆ จำแนกตามรูปร่างและโครงสร้าง เป็น 3 ประเภทคือ1) กล้ามเนื้อลายหรือกล้ามเนื้อยึดกระดูก (striated muscle หรือ skeletal striated muscle) 2) กล้ามเนื้อเรียบ (smooth muscle) 3) กล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle)

  23. เนื้อเยื่อประสาท (nervous tissue)   เป็นเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับสิ่งเร้า การตอบสนองต่อสิ่งเร้า และควบคุมการทำงานของอวัยวะ เนื้อเยื่อประสาทประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ 2 ประเภท คือ - เซลล์ประสาท (neuron หรือ nerve cell) - เซลล์ค้ำจุต (glial cell หรือ supporting cell) ซึ่งเป็นเซลล์ทำหน้าที่ช่วยเหลือการทำงานของเซลล์ประสาท เช่น เซลล์ชวานน์ (schwann cell)

  24. เนื้อเยื่อพืช(Plant tissue)ก็คือ เซลล์หลายๆเซลล์ของพืชที่มาอยู่รวมกันและทำหน้าที่คล้ายกัน โดยแบ่งเป็น2 ประเภทตามความสามารถในการแบ่งตัวของเนื้อเยื่อเป็นหลักแบ่งได้ 2 ชนิด คือ           1. เนื้อเยื่อเจริญ (Meristematic tissue)        2. เนื้อเยื่อถาวร (Permanent tissue) เนื้อเยื่อถาวรของพืชที่มีการเจริญขั้นที่ 2 เนื้อเยื่่อเจริญปลายยอด VDO

More Related