1 / 36

กล้องดูดาว

เทคโนโลยีอวกาศ หมายถึง ระเบียบการนำความรู้ เครื่องและวิธีการต่างๆทางวิทยาศาสตร์มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับการศึกษาทางด้านดาราศาสตร์  และ อวกาศ  ตลอดจนสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับทรัพยากรธรรมชาติ  และการดำรงชีวิตของมนุษย์ด้วย  เช่น  การนำเทคโนโลยีอวกาศมาใช้สำรวจและตรวจสอบสภาพอากาศของโลก เป็นต้น.

Télécharger la présentation

กล้องดูดาว

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. เทคโนโลยีอวกาศหมายถึง ระเบียบการนำความรู้ เครื่องและวิธีการต่างๆทางวิทยาศาสตร์มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับการศึกษาทางด้านดาราศาสตร์  และ อวกาศ  ตลอดจนสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับทรัพยากรธรรมชาติ  และการดำรงชีวิตของมนุษย์ด้วย  เช่น  การนำเทคโนโลยีอวกาศมาใช้สำรวจและตรวจสอบสภาพอากาศของโลก เป็นต้น กล้องดูดาว ดาวเทียม ยานอวกาศ สถานีอวกาศ นักบินอวกาศ

  2. กล้องดูดาว (elescope) หรือ กล้องโทรทรรศน์(telescope) เป็นอุปกรณ์ที่สามารถขยายวัตถุที่อยู่ในระยะไกล และเป็นอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นในการดูดาวเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เรามองเห็นดวงดาวที่อยู่ไกลเป็นอย่างดี • กล้องโทรทรรศน์ปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ • 1. กล้องโทรทรรศน์ชนิดแสง แบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ • กล้องโทรทรรศน์ แบบสะท้อนแสง (Reflector) • กล้องโทรทรรศน์ แบบหักเหแสง (Refractor) • กล้องโทรทรรศน์ชนิดผสม (Catadioptic) • 2. กล้องโทรทรรศน์วิทยุ (radio telescope)

  3. กล้องโทรทรรศน์ชนิดสะท้อนแสง (Reflect telescope) • เซอร์ ไอเซคนิวตัน เป็นผู้ประดิษฐ์กล้องชนิดนี้ เป็นบุคคลแรก บางที่เราก็เรียก กล้องแบบนี้ว่า กล้องแบบนิวโทเนียน หรือกล้องโทรทรรศน์แบบนิวตัน (Newtonian Telescope) ประกอบด้วย กระจกเว้า กระจกระนาบ และ เลนส์นูน • หลักการของกล้องโทรทัศน์ชนิดสะท้อนแสง เป็นกล้องโทรทรรศน์ ที่อาศัยหลักการ • สะท้อนของแสงผ่านกระจกโค้ง • (Concave Objective Mirror) แล้ว • หักเหอีกครั้ง ผ่านเลนส์ตา (Eye piece) • ซึ่งเหมาะสำหรับการสำรวจกระจุกดาว, • เนบิวลา, วัตถุท้องฟ้า หรือกาแล็กซี่ ที่ค่อนข้างจางเป็นต้น

  4. ข้อดี • เหมาะสำหรับทั่วไป เนื่องจาก ภาพที่ได้มีคุณภาพดี, ราคาไม่สูงมาก นอกจากนี้ ภาพที่ได้ก็เหมือนจริง (ไม่กลับข้าง) นอกจากนี้ ขนาดของหน้ากล้อง ซึ่งมีความสำคัญต่อการรับแสง กล้องชนิดนี้ ก็มีขนาดให้เลือกมากกว่า • ข้อเสีย • กระจกสะท้อนที่สอง ที่อยู่ภายในกล้อง ที่ทำหน้าที่สะท้อนภาพมายัง • เลนส์ตานั้น จะลดพื้นที่รับแสงของกล้องแบบนี้ ทำให้เมื่อขนาดของหน้ากล้องเท่ากัน กล้องแบบหักเหแสงจะรับแสงได้มากกว่า ทำให้เห็นภาพวัตถุ • ที่จางกว่าได้ (แต่กล้องโทรทรรศน์แบบสะท้อนแสง มีขนาดของหน้ากล้องที่ใหญ่กว่าให้เลือกแทน) และกล้องแบบนี้ ก็ต้องการการดูแลรักษา โดยเฉพาะการป้องกันฝุ่น หรือน้ำค้าง เนื่องจากด้านหน้าของกล้อง เปิดออกรับแสงโดยตรง โดยไม่มีอะไรมาปิดไว้ 

  5. กล้องโทรทรรศน์ชนิดหักเหแสง (Refract telescope) • กาลิเลโอเป็นบุคคลแรกที่ประดิษฐ์กล้องชนิดนี้ขึ้น ประกอบด้วยเลนส์นูนอย่างน้อยสองชิ้น คือ เลนส์วัตถุ (Objective Lens)เป็นเลนส์ด้านรับแสงจากวัตถุ และเลนส์ตา (Eye piece)เป็นเลนส์ที่ติดตาเราเวลามอง • หลักการของกล้องโทรทัศน์ชนิดหักเหแสง  • อาศัยหลักการหักเหของแสง ผ่านเลนส์ • วัตถุแล้วหักเหอีกครั้ง ผ่านเลนส์ตา • ซึ่งเหมาะสำหรับ สำรวจพื้นผิวของ • ดวงจันทร์, ดาวเคราะห์, วงแหวนและ • ดาวบริวารของดาวเคราะห์ เป็นต้น

  6. ข้อดี • เหมาะสำหรับมือใหม่ เนื่องจาก ราคาถูก (เมื่อเทียบกับแบบอื่น), เคลื่อนย้าย, ประกอบใช้งานง่าย, และเนื่องจากไม่ต้องตั้งอะไรมากนัก ทำให้บำรุงรักษาง่าย นอกจากนี้ โครงสร้างของกล้อง ก็ป้องกันฝุ่นในตัวอยู่แล้ว • ข้อเสีย • ขนาดสูงสุดของเลนส์วัตถุไม่มากนัก ซึ่งทั่วไปจะมีขนาดประมาณ 3-5 นิ้ว ดังนั้น จึงไม่สามารถสังเกตวัตถุที่จางมากๆ นอกจากนี้ ขนาดของเลนส์วัตถุที่ใหญ่มาก จะทำให้ภาพที่ได้มีสีเพี้ยน และกล้องโทรทรรศน์ชนิดนี้ มักมากับกระจกสะท้อน เพื่อช่วยให้สะดวกในการดูดาว ทำให้ภาพที่ได้ กลับจากซ้ายไปขวา

  7. กล้องโทรทรรศน์แบบผสม (Catadioptic telescope) • เป็นกล้องโทรทรรศน์คุณภาพสูง จะใช้กระจก 2 ชุด สะท้อนแสงกลับไป-มา ช่วยให้ลำกล้องสั้น และส่วนมากจะสามารถควบคุมระบบได้เเบบดิจิตอล ดังเช่น กล้องโทรทรรศน์บนหอดูดาวต่างๆ มักจะเป็นกล้องชนิดนี้ • หลักการของกล้องโทรทัศน์ชนิดผสมเป็นกล้องโทรทรรศน์ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้ • หลักของการหักเหและสะท้อนแสงร่วมกัน • กล้องชนิดนี้ เหมาะสำหรับ การสำรวจกระจุกดาว, • เนบิวลา, วัตถุท้องฟ้า หรือกาแล็กซี่ที่ค่อนข้างจาง

  8. ข้อดี • กล้องโทรทรรศน์แบบนี้มีขนาดเล็ก (ขณะที่หน้ากล้องใหญ่ขึ้น) ทำให้เคลื่อนย้ายสะดวก, ขนาดที่ของกล้องสั้น ทำให้ติดตั้งมอเตอร์ติดตามดาวได้ง่าย เนื่องจากน้ำหนักสมดุลกว่า และติดตั้งอุปกรณ์ประกอบได้ง่าย • ข้อเสีย • ราคาสูงกว่ากล้องแบบอื่นๆ (ในขนาดที่เท่ากัน) และภาพที่ได้ มีความคมสู้แบบสะท้อนแสงไม่ได้ (ในขนาดที่เท่ากัน) เนื่องจาก เลนส์ตาที่ทำหน้าที่หักเหแสง และกล้องโทรทรรศน์ชนิดนี้ มักมากับกระจกสะท้อน เพื่อช่วยให้สะดวกในการดูดาว ทำให้ภาพที่ได้ กลับจากซ้ายไปชวา เช่นเดียวกับกล้องโทรทรรศน์แบบหักเหแสง

  9. กล้องโทรทรรศน์วิทยุ (radio telescope) เป็นกล้องโทรทรรศน์ที่สามารถรับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่น ในช่วงคลื่นวิทยุจากวัตถุบางชนิดจากท้องฟ้าได้ ส่วนประกอบของกล้องโทรทรรศน์วิทยุมี 3 ส่วนคือ ส่วนรับสัญญาณ ทำหน้าที่รับและรวมสัญญาณไปอยู่ที่จุดโฟกัสของจาน ส่วนขยายสัญญาณ ทำหน้าที่ขยายสัญญาณที่ส่งมาจากส่วนรับสัญญาณ ส่วนบันทึกสัญญาณ ทำหน้าที่แปลสัญญาณที่ถูกขยายให้ออกมาเป็นภาพ หรือรหัสบนแผ่นกระดาษ หรือจอรับภาพเป็นภาพ

  10.  กล้องโทรทรรศน์ที่ถูกสร้างขึ้นมาแล้วส่งขึ้นไปในอวกาศ เรียกว่า “ กล้องโทรทรรศน์อวกาศ(Space Telescope) ” เป็นอุปกรณ์สำหรับการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ที่อยู่ในอวกาศภายนอกในระดับวงโคจรของโลก ได้แก่ กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลและกล้องโทรทรรศน์อวกาศจันทรา • เป็นกล้องชนิดสะท้อนแสง • มีขนาดความกว้างของกระจก 2.4 m • โคจรรอบโลกทุกๆ 97 นาที • ขนาดกว้าง 4.3 m ยาว 13.3 m รวมน้ำหนัก11 ตัน • ขนส่งโดยยานดิสคัฟเวอรี • ส่องได้ไกลถึง 14,000 ล้านปีแสง(กล้องปกติ 2 ล้านปีแสง) • -มีอายุการใช้งานนานถึง 20 ปี ปลดระวางในปี พ.ศ. 2553

  11. ดาวเทียม (Satellite) คือ สิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์คิดค้นขึ้น ที่สามารถโคจรรอบโลก โดยอาศัยแรงดึงดูดของโลก • ดาวเทียมได้ถูกส่งขึ้นไปโคจรรอบโลกครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2500 มีชื่อว่า สปุตนิก1(Sputnik1) ในปี พ.ศ. 2501 สหภาพโซเวียตก็ส่ง ดาวเทียมสปุตนิก2โดยมีสุนัขตัวเมียชื่อไลก้า ขึ้นไปในอวกาศและสหรัฐฯ ได้ส่งดาวเทียมขึ้นไปโคจรมีชื่อว่าเอกซ์พลอเรอ (Explorer) ทำให้รัสเซียและสหรัฐฯ เป็นผู้นำทางด้านการสำรวจทางอากาศ • การส่งดาวเทียมขึ้นไปโคจรรอบโลกทำได้ 2 วิธี คือ ส่งโดยใช้จรวดและส่งโดยใช้ยานขนส่งอวกาศ ประเภทของดาวเทียมเมื่อแบ่งตามหน้าที่ต่างๆ สามารถแบ่งได้ดังนี้ (1) ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา (2) ดาวเทียมสำรวจทรัพยากร (3) ดาวเทียมสื่อสาร (4) ดาวเทียมสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ (5) ดาวเทียมทางทหาร Sputnik1 ไลก้า

  12. ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา (Meteorological Satellites) • ติดตั้งอุปกรณ์ถ่ายภาพบรรยากาศโลกจากมุมสูงระยะทางไกล • ทำให้มองเห็นภาพรวมของสภาพอากาศซึ่งปกคลุมเหนือพื้นผิว • ทำหน้าที่ ตรวจความแปรปรวนของลมฟ้าอากาศ เพื่อการพยากรณ์อากาศ ทำให้สามารถช่วยเตือนภัยและพยากรณ์สภาพอากาศล่วงหน้า  • ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาดวงแรก เพื่อพยากรณ์อากาศ คือ • ดาวเทียมไทรอส1 ส่งเข้าสู่วงโคจรรอบโลก เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2503 • วัตถุประสงค์ของดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา • เพื่อถ่ายภาพชั้นบรรยากาศโลกประจำวัน • เพื่อได้ภาพต่อเนื่องของบรรยากาศโลก และ • เพื่อเก็บและถ่ายทอดข้อมูลจากสถานีภาคพื้นดิน • เพื่อทำการหยั่งตรวจอากาศโลกประจำวัน ไทรอส1

  13. ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาแบ่งตามวงโคจรได้เป็น 2 ชนิด คือ • 1. ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาชนิดวงโคจรค้างฟ้าหรือดาวเทียมประจำถิ่น (Geostationary Meteorological Satellite)  • โคจรรอบโลกใช้เวลา 24 ชั่วโมง ไปพร้อมๆ กับการหมุนรอบตัวเองของโลก ทำให้ตำแหน่งดาวเทียมจะสัมพันธ์กับตำแหน่งบนพื้นโลกในบริเวณเดิมเสมอ สูงจากพื้นโลกประมาณ 35,800 กิโลเมตร ทำให้ได้ภาพถ่ายที่ปกคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง คลอบคลุมทั้งทวีปและมหาสมุทร สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้ โดยถ่ายภาพซ้ำเพื่อทำการเปรียบเทียบ ดาวเทียมชนิดนี้ ได้แก่ GOES-W, GOES-E, METEOSAT, GMS, INSAT และ FY-2 METEOSAT

  14. 2. ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาชนิดวงโคจรผ่าใกล้ขั้วโลก (Near Polar Orbiting Meteorological Satellite) โคจรรอบโลกประมาณ 102 นาที ต่อ 1 รอบ ในหนึ่งวันจะหมุน รอบโลกประมาณ 14 รอบ และจะเคลื่อนที่ผ่านเส้นศูนย์สูตร ในเวลาเดิม (ตามเวลาท้องถิ่น) 2 ครั้งเป็นดาวเทียมที่มีระดับ ความสูงจากพื้นโลกเพียง 850 กิโลเมตร จึงให้ภาพรายละเอียด สูง แต่ปกคลุมพื้นที่เป็นบริเวณแคบๆ จึงเหมาะสำหรับใช้สังเกตรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศระดับภูมิภาคได้แก่ ดาวเทียม NOAA, METEOR และ FY-1 NOAA

  15. ดาวเทียมสำรวจทรัพยากร (Earth observation satellites) • เป็นดาวเทียมที่มีอุปกรณ์สำรวจแหล่งทรัพยากรที่สำคัญ นอกจากนี้ยังเฝ้าสังเกตสภาวะแวดล้อมที่เกิดบนโลก ช่วยเตือนเรื่องอุทกภัย และความแห้งแล้งที่เกิดขึ้น การตัดไม้ทำลายป่า การทับถมของตะกอนปากแม่น้ำ รวมไปถึงแหล่งที่มีปลาชุกชุม และอื่นๆ อีกมาก • ดาวเทียมธีออส(THEOS :Thailand Earth Observation System) ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรดวงแรกของไทย THEOS :Thailand Earth Observation System) spot1 MOS 1 LANDSAT-5

  16. ดาวเทียมสื่อสาร (communication satellite :comsat) • เป็นดาวเทียมที่มีอุปกรณ์สื่อสารติดตั้งอยู่มีจุดประสงค์เพื่อการสื่อสารและโทรคมนาคม • ดาวเทียมสื่อสารของไทย ชื่อไทยคม ดาวเทียมไทยคมช่วยการติดต่อสื่อสารได้ทั่วประเทศไทยและประเทศในแถบอินโดจีนไปจนถึงเกาหลีและญี่ปุ่น รวมทั้งชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของจีน • เป็นดาวเทียมสื่อสารที่ประเทศไทยให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมด้านต่างๆ เช่น การถ่ายทอดโทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์ การประชุมทางไกล และระบบถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์สู่เสาอากาศของผู้รับในบ้านได้โดยตรง INTELSAT : International Telecommunication Satellite Consortium PALAPAของอินโดนีเซีย COMSTAR ของอเมริกา THAICOMของประเทศไทย

  17. ไทยคม 1A ดาวเทียมดวงแรกของประเทศ ถูกยิงขึ้นสู่วงโคจรในวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2536 อายุการใช้งานประมาณ 15 ปี (ถึง พ.ศ. 2551) ไทยคม 4 หรือ ไอพีสตาร์  เป็นดาวเทียมดวงแรกที่ออกแบบมาเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ที่ความเร็ว 45 Gbpsเป็นดาวเทียมสื่อสารเชิงพาณิชย์ที่ใหญ่ มีน้ำหนักมากที่สุด ถึง 6486 กิโลกรัม และทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน ไอพีสตาร์ถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2548 มีอายุการใช้งานประมาณ 12 ปี  ไทยคม 2 ดาวเทียมดวงที่ 2 ของประเทศถูกยิงขึ้นสู่วงโคจรในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2537 อายุการใช้งานประมาณ 15 ปี (ถึง พ.ศ. 2552) ไทยคม 3 ถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2540 มีพื้นที่การให้บริการ (footprint) ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 4 ทวีป สามารถให้บริการในเอเชีย, ยุโรป, ออสเตรเลียและแอฟริกา และถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ตรงถึงที่พักอาศัยหรือ Direct-to-Home (DTH) ในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ดาวเทียมไทยคม 3 มีอายุการใช้งานประมาณ 14 ปี แต่ปลดระวางไปเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2549  เนื่องจากมีปัญหาเรื่องระบบไฟฟ้า ไทยคม 5 มีน้ำหนัก 2800 กิโลกรัม ถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรเมื่อวันที่  27 พฤษภาคม พ.ศ. 2549  เพื่อทดแทนไทยคม 3 มีพื้นที่การให้บริการครอบคลุมพื้นที่ 4 ทวีป ใช้เป็นดาวเทียมสำหรับการถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ตรงถึงที่พักอาศัยหรือ Direct-to-Home (DTH) และการถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ดิจิตอลความละเอียดสูง

  18. ดาวเทียมสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ (Astronomical satellites ) • เป็นดาวเทียมที่มีกล้องโทรทรรศน์และอุปกรณ์ดาราศาสตร์สำหรับศึกษา สำรวจ ตรวจวัด วัตถุท้องฟ้าและปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ • มีทั้งประเภทที่โคจรรอบโลก และประเภทที่โคจรผ่านไปใกล้ดาวเคราะห์หรือลงสำรวจดาวเคราะห์ Voyager 1 Voyager 2 Viking 1

  19. ดาวเทียมทางทหาร (Military satellites) • ดาวเทียมทั่วไปอาจใช้ประโยชน์ในทางทหารได้ด้วย • ใช้ในการติดต่อระหว่างกองทัพกับฐานทัพ • ใช้ในการรับสัญญาณจากสายลับ หรือจากอุปกรณ์สอดแนมอัตโนมัติที่ตั้งทิ้งไว้ในแดนข้าศึก MITEX KOMPSAT-2

  20. ประเภทของดาวเทียมเมื่อแบ่งตามความสูงในการโคจรเทียบกับพื้นโลกประเภทของดาวเทียมเมื่อแบ่งตามความสูงในการโคจรเทียบกับพื้นโลก • (1) สูงจากพื้นโลกประมาณ 41,157 กิโลเมตร • เป็นดาวเทียมที่โคจรหยุดนิ่งกับที่เทียบกับพื้นโลก(Geostationary Satellites) • ส่วนมากจะเป็นดาวเทียมสื่อสาร • มีคาบการโคจรประมาณ 24 ชั่วโมง • (2) สูงจากพื้นโลกประมาณ 9,700-19,400 กิโลเมตร • เป็นดาวเทียมที่ไม่ได้หยุดนิ่งเทียบกับพื้นโลก (Asynchronous Satellite) • ส่วนมากจะเป็นดาวเทียมนำทางแบบจีพีเอส(GPS: Global Positioning System) • ประยุกต์ใช้ในระบบการติดตาม บอกตำแหน่ง หรือนำร่องบนโลก • มีคาบการโคจรประมาณ 12 ชั่วโมง

  21. (3) สูงจากพื้นโลกประมาณ 4,800-9,700 กิโลเมตร • เป็นดาวเทียมที่ไม่ได้หยุดนิ่งเทียบกับพื้นโลก(Asynchronous Satellite) • เป็นดาวเทียมสำหรับการสำรวจและสังเกตการณ์ทางวิทยาศาสตร์ • มีคาบการโคจรประมาณ 100 นาที • (4) สูงจากพื้นโลกประมาณ 130-1940 กิโลเมตร • เป็นดาวเทียมที่ไม่ได้หยุดนิ่งเทียบกับพื้นโลก(Asynchronous Satellite) • ส่วนมากจะเป็นดาวเทียมที่ใช้ในการสำรวจทรัพยากรบนโลก รวมไปถึงดาวเทียมด้านอุตุนิยมวิทยา

  22. ยานอวกาศ : Space Craftคือพาหนะหรืออุปกรณ์ • ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ทำงานในอวกาศเหนือผิวโลก • มีการคิดค้นพัฒนายานอวกาศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเดินทางได้ไกลขึ้น และใช้พลังงานน้อยลง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย พาหนะหรืออุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ทำงานในอวกาศเหนือผิวโลก ยานอวกาศ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ยานอวกาศที่ไม่มีมนุษย์ควบคุม และยานอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุม หลักการส่งยานอวกาศ • ความเร็วน้อยที่สุดที่ทำให้ยานอวกาศไม่ตกสู่พื้นโลก มีค่า 7.6 km/s เรียกว่า “ ความเร็วโคจรรอบโลก ” • ความเร็วน้อยที่สุดที่ยานอวกาศต้องใช้เพื่อให้หลุดออกจากการโคจรรอบโลกหรือเพื่อที่จะหลุดพ้นจากแรงดึงดูดของโลก จะมีค่า 11.2 km/s เรียกว่า “ ความเร็วหลุดพ้นหรือความเร็วผละหนี ” จะลดต่ำลงเมื่อห่างจากโลกมากขึ้น

  23. ยานอวกาศที่ไม่มีมนุษย์ควบคุม เนื่องจากการสำรวจบางครั้งต้องใช้เวลาเดินทางไกล มากและอันตรายต่อมนุษย์ จึงเป็นหน้าที่ของยานที่ถูกบังคับจากภาคพื้นดินบนโลก บางที่เรา เรียกยานแบบนี้ว่า Robot Scpace Craft  มีขนาดเล็กมาก ส่วนใหญ่สำรวจดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ และห้วงอวกาศระหว่างดาวเคราะห์ ตัวอย่างโครงการที่สร้างยานอวกาศที่ไม่มีมนุษย์ควบคุม 1. โครงการเรนเจอร์ ออกแบบให้ยานพุ่งชนดวงจันทร์ 2. โครงการลูน่าออบิเตอร์ กำหนดให้ยานไปวนถ่ายภาพรอบดวงจันทร์ 3. โครงการเซอเวเยอร์ ออกแบบให้ยานจอดลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล โครงการเซอเวเยอร์ โครงการลูน่าออบิเตอร์ โครงการเรนเจอร์

  24. ยานอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุม ซึ่งจะเดินทางในช่วงเวลา สั้นๆ เช่นโคจรรอบโลก มีขนาดใหญ่ จึงมีมวลมาก  การ ขับดันยานอวกาศที่มีมวลมากให้มีอัตราเร่งสูงจำเป็นต้อง ใช้จรวดที่บรรทุกเชื้อเพลิงจำนวนมาก ซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่าย สูงมาก  ปัจจุบันมนุษย์เดินทางไปในอวกาศได้ไกลสุดเพียง ดวงจันทร์เท่านั้น ตัวอย่างโครงการที่สร้างยานอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุม 1) โครงการเมอร์คิวรี (Mercury)มีจุดประสงค์ คือ ส่งมนุษย์ขึ้นไปครั้งละ 1 คน ขึ้นไปโคจรในอวกาศ 2) โครงการเจมินี(Gemini)มีจุดประสงค์ คือ นำมนุษย์ 2 คน ขึ้นไปดำรงชีพในอวกาศนานที่สุด 3) โครงการอพอลโล(Apollo)มีจุดประสงค์ คือ นำมนุษย์ ไปสำรวจ ดวงจันทร์ ใช้มนุษย์อวกาศครั้งละ 3 คน โครงการเจมินี ยานอะพอลโล 11 โครงการเมอร์คิวรี

  25. 4) โครงการสกายแล็บ (Skylab) มีจุดประสงค์ คือ ให้มนุษย์ขึ้นไปบนสถานีลอยฟ้า เป็นโครงการที่ศึกษา เกี่ยวกับฟิสิกส์การแพทย์ ทรัพยากรธรรมชาติ และ ผลกระทบของสภาพไร้แรงดึงดูดโลก 5) โครงการอพอลโล– โซยูส(Apollo- Soyuz) มี จุดประสงค์ คือ เพื่อขึ้นไปทดสอบระบบนัดพบ และ เชื่อมต่อยานอวกาศ เป็นโครงการระหว่างสหรัฐอเมริกา และสหภาพ-โซเวียต 6) โครงการยานขนส่งอวกาศ (Space Shutle)  เพื่อใช้เป็นพาหนะสำหรับบรรทุกสิ่งของและมนุษย์ที่ขึ้นไปบนอวกาศ และเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการใช้ประโยชน์จากอวกาศ โครงการอพอลโล– โซยูส โครงการสกายแล็บ โครงการยานขนส่งอวกาศ

  26. ยานอพอลโล11 (16-24 กรกฎาคม 1969)พามนุษย์ไปลงบนดวงจันทร์ครั้งแรก มีลูกเรือสามคน คือ นีล อาร์มสตรอง,เอดวินอัลดริน และ ไมเคิลคอลลินส์ ภาพนักบินอวกาศผู้ปฏิบัติภารกิจพิชิตดวงจันทร์ทั้ง 3 ท่านได้แก่ นีล อาร์มสตรอง  ไมเคิลคอลลินส์และ  เอ็ดวินอัลดริน  เรียงจากซ้ายไปขวา 12  เมษายน  1961  ยูริ กาการินชาวรัสเซีย เป็นมนุษย์คนแรกที่ขึ้นสู่อวกาศ  ขึ้นสู่วงโคจรโลกด้วยยานอวกาศวอสต็อก (Vostok) ได้ส่งให้ยูริ กาการินเดินทางโดยสวัสดิภาพ โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 108 นาที ในการเดินทางรอบวงโคจรของโลกในแคปซูลที่มีขนาดความกว้างเพียง 2 เมตร ก่อนที่จะดีดตัวออกมา และกระโดดร่มลงสู่พื้นดินอย่างปลอดภัย

  27. ในการส่งดาวเทียมและยานอวกาศแต่ละครั้ง ทั้งดาวเทียมและจรวดนำส่ง ไม่มีส่วนใดนำกลับมา ใช้ได้อีก ส่วนระบบการขนส่งอวกาศ ถูกพัฒนาและออกแบบให้สามารถนำชิ้นส่วนกลับมาใช้ใหม่ได้อีก ยานอวกาศแบบนี้ เรียกว่า กระสวยอวกาศ ระบบขนส่งอวกาศ ถังเชื้อเพลิงภายนอก (สำรองไฮโดรเจนเหลวและออกซิเจนเหลว) ระบบการขนส่งอวกาศ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ 1. จรวดเชื้อเพลิงแข็ง  มีลักษณะเป็นแท่งเชื้อเพลิงแข็งเป็นสารประกอบของไฮโดรเจนและคาร์บอน  2. ถังเชื้อเพลิงภายนอก (สำรองไฮโดรเจนเหลวและออกซิเจนเหลว) 3. ยานขนส่งอวกาศ (กระสวยอวกาศ)ทำหน้าที่ควบคุมวิถีโคจรและท่าบินของยาน ระบบจรวดนี้ขับเคลื่อนโดยใช้เชื้อเพลิงที่อยู่ในยาน จรวจเชื้อเพลิงแข็ง ยานขนส่งอวกาศ  หน้าที่ของจรวด คือ การนำยานอวกาศ ดาวเทียม หรืออุปกรณ์ประเภทอื่นขึ้นสู่อวกาศ 

  28. ปฏิบัติการของระบบขนส่งอวกาศปฏิบัติการของระบบขนส่งอวกาศ จรวดเชื้อเพลิงแข็งจะถูกขับเคลื่อนจากฐานปล่อยให้นำพาทั้งระบบขึ้นสู่อวกาศด้วยความเร็วที่มากกว่า ค่าความเร็วหลุดพ้น เมื่อถึงระดับหนึ่งจรวดเชื้อเพลิงแข็งทั้งสองข้างจะแยกตัวออกมาจากระบบ จากนั้นถังเชื้อเพลิงภายนอกจะแยกตัวออกจากยานอวกาศ โดยตัวยานอวกาศจะเข้าสู่วงโคจรเพื่อปฏิบัติภารกิจต่อไป ดังรูป

  29. ได้มีการพัฒนา จรวดเชื้อเพลิงเหลว มาเป็นลำดับ กระทั่งสหภาพโซเวียตประสบความสำเร็จในการใช้จรวด สามท่อนสำหรับส่งยานอวกาศ หรือดาวเทียมที่มีน้ำหนักมากขึ้นสู่อวกาศ จากนั้นการศึกษาค้นคว้า ด้านอวกาศ ก็มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการแข่งขันกันระหว่างประเทศมหาอำนาจ ระหว่างรัสเซียและอเมริกา กระสวยอวกาศลำแรกที่ปล่อยใช้งานสู่อวกาศคือกระสวยอวกาศโคลัมเบีย ในวันที่ 12 เมษายนพ.ศ. 2524

  30. สถานีอวกาศเป็นยานอวกาศที่โคจรไปรอบโลกในวงโคจรระดับต่ำ ที่มีความสูงจากพื้นโลกไม่เกิน 1000 กิโลเมตร โดยมีมนุษย์ขึ้นไปปฏิบัติภารกิจอยู่บนสถานี ประโยชน์ที่ได้จากสถานีอวกาศก็ คือ • 1)  ศึกษาความเป็นไปได้ของการดำรงชีวิตในสภาพไร้แรงโน้มถ่วง 2)  ศึกษาการทดลองต่างๆทางวิทยาศาสตร์ในสภาพไร้แรงโน้มถ่วง 3)  ศึกษาพฤติกรรมของสัตว์บางชนิด และการดำรงชีพของสัตว์เหล่านั้น เมื่ออยู่ในสภาพไร้แรงโน้มถ่วง 4)  ใช้สำหรับการศึกษาทางด้านดาราศาสตร์  เพราะในอวกาศไม่มีชั้นบรรยากาศรบกวนหรือขวางกั้น5)  ใช้สำหรับการศึกษาทางด้านธรณีวิทยา และ อุตุนิยมวิทยา  ควบคู่ไปกับระบบดาวเทียม6)  ใช้สำหรับประโยชน์ทางการทหาร7)  นอกจากนี้การสร้างสถานีอวกาศ ยังเป็นแนวทางที่ทำให้มีการประดิษฐ์คิดค้นอุปกรณ์หรือวิทยาการใหม่ๆขึ้นมาสำหรับการพัฒนาสถานีอวกาศรุ่นต่อ ๆไป • สถานีอวกาศแห่งแรกของโลกคือสถานีอวกาศซัลยูตของรัสเซีย • ตามมาด้วยสกายแลบ (Skylab)และสถานีอวกาศเมียร์  ซึ่งทั้งสาม • สถานีนั้นได้ยุติโครงการและตกลงในมหาสมุทรหมดแล้ว ยังคงเหลือ • เพียงสถานีเดียว คือ สถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งเป็นสถานีอวกาศ • ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างมา ปัจจุบันยังโคจรอยู่รอบโลก

  31. วัตถุยิ่งสูงจากพื้นโลกแรงโน้มถ่วงของโลกที่กระทำต่อวัตถุยิ่งมีน้อยลงแสดงว่าน้ำหนักของวัตถุมีค่าน้อย กว่าเมื่ออยู่บนพื้นโลก ดังนั้นถ้าวัตถุอยู่ห่างจากโลกเป็นระยะไกลมากๆ จนกระทั่งแรงโน้มถ่วงของโลกส่งไปไม่ถึง จะทำให้วัตถุไม่มีน้ำหนัก จึงกล่าวได้ว่า “ วัตถุอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก ” การสวมชุดอวกาศเพื่อ ปรับความดัน ให้สมดุลกับความดันโลหิตในร่างกาย ป้องกันพลังงานความร้อน และรังสีต่าง ๆ จากดวงอาทิตย์

  32. มนุษย์อวกาศเมื่ออยู่ในอวกาศนานๆจะประสบปัญหา ดังนี้ 1.ถ้าอยู่ในสภาพไร้น้ำหนักเป็นเวลานานจะทำให้กล้ามเนื้อออกแรงน้อยกว่าปกติ ทำให้ กล้ามเนื้อลีบ นักบินอวกาศจึงต้องออกกำลังกายอยู่เสมอเพื่อ ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ระบบ สูบฉีดโลหิตทำงานเช่นเดียวกับเมื่ออยู่ในสภาพปกติ  2. เมื่ออยู่ในอวกาศนานขึ้น จะรู้สึกคลื่นไส้  ศีรษะและ ช่องอากาศในจมูกบวม กระดูกเริ่มเปราะ 3. ของเหลวในร่างกายจะเคลื่อนที่จากส่วนล่างไหลขึ้นบน เกิดการบวมและขยายของอวัยวะบางส่วนได้4. ความดันโลหิตในร่างกายสูงกว่าความดันภายนอกทำให้ เส้นเลือดแตกได้ การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดูแลตนเองให้ปลอดภัยจากสภาพไร้น้ำหนัก

  33. การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศ 1. มีการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษา พัฒนา และประดิษฐ์อุปกรณ์ถ่ายภาพในช่วงคลื่น ๆ จากระยะไกล  2. ทำให้เครื่องรับและส่งสัญญาณมีประสิทธิภาพมากขึ้น แล้วนำอุปกรณ์และเครื่องส่งสัญญาณไปประกอบเป็นดาวเทียม ที่ถูกส่งขึ้นไปโคจรจรอบโลก  3. ทำให้สามารถสังเกตสิ่งต่าง ๆ บนโลกได้ระยะไกลในเวลาอันรวดเร็ว4. ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับเอกภพ โลก ดวงจันทร์ และดาวอื่น ๆ 5. ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอวกาศ ช่วยเปิดเผยความลี้ลับในอดีต และ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์ในด้านต่าง ๆ

  34. ความก้าวหน้าของการสำรวจอวกาศอาจทำให้เกิดผลเสีย ดังนี้ • ค่าใช้จ่ายในการสำรวจอวกาศสูง • ในการส่งจรวดหรือยานอวกาศขึ้นสู่อวกาศมีผลกระทบกับชั้นบรรยากาศของโลก • ปัญหาดาวเทียมหรือยานอวกาศที่หมดอายุการใช้งานกลายเป็นขยะอวกาศ • การส่งจรวดสู่อวกาศบางครั้งผิดพลาด ทำให้สูญเสียชีวิตของนักบินอวกาศ • ความก้าวหน้าทางด้านอวกาศอาจเป็นสาเหตุในการใช้เทคโนโลยีในด้านการทำลาย

  35. ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ • วีดีโอเพิ่มเติม http://www.youtube.com/watch?v=OnZtz3udZA0 http://www.youtube.com/watch?v=X1ksnWDsZzg http://atcloud.com/stories/47176 • ความรู้เพิ่มเติม http://www.thaigoodview.com/library/sema/sukhothai/jantip_k/sec06p01.htm http://www.thaigoodview.com/node/76342 http://www.lesa.biz/astronomy/space-technology • สื่อการเรียนรู้เพิ่มเติม ครูติ๊ก http://www.learnbytechno.com/

More Related