1.26k likes | 1.87k Vues
สัญญาตั๋วเงิน. บทนำเกี่ยวกับสัญญาตั๋วเงิน. สัญญาตั๋วเงินมีวิวัฒนาการมาจาก กฎหมายพ่อค้า( Merchant Law) การชำระหนี้ด้วยเงินสด ไม่ปลอดภัย การชำระหนี้ด้วยเงินสด ไม่สะดวก การชำระหนี้ด้วยเงินสด ไม่มีประโยชน์ในเรื่องการผ่อนเวลาการใช้เงิน. ข้อดี มีความน่าเชื่อถือ โอนง่าย
E N D
บทนำเกี่ยวกับสัญญาตั๋วเงินบทนำเกี่ยวกับสัญญาตั๋วเงิน • สัญญาตั๋วเงินมีวิวัฒนาการมาจาก กฎหมายพ่อค้า(Merchant Law) • การชำระหนี้ด้วยเงินสด ไม่ปลอดภัย • การชำระหนี้ด้วยเงินสด ไม่สะดวก • การชำระหนี้ด้วยเงินสด ไม่มีประโยชน์ในเรื่องการผ่อนเวลาการใช้เงิน
ข้อดี มีความน่าเชื่อถือ โอนง่าย ให้ความคุ้มครองแก่ผู้รับโอน ข้อเสีย ไม่สะดวกในกรณีต้องชำระหนี้จำนวนมาก ไม่ปลอดภัย ไม่สามารถผ่อนเวลาการใช้เงินได้ ดังนั้นจึง ไม่อาจควบคุมความเสียงได้ ข้อดีข้อเสียของการชำระหนี้ด้วยเงินสด
สัญญาตั๋วเงิน ต้องมีข้อดี • สงวนข้อดี ลดจุดด้อย ของการชำระหนี้ด้วยเงินตรา • สะดวก • โอนได้ง่าย • ปลอดภัย • ให้ความคุ้มครองแก่ผู้รับโอน • มีความน่าเชื่อถือ • สามารถควบคุมความเสี่ยงได้ • มีประโยชน์ในด้านเครดิต สินเชื่อ
ลักษณะทั่วไปของสัญญาตั๋วเงิน • สัญญาตั๋วเงินเป็นสัญญาซึ่งเกิดขึ้นเพื่อชำระหนี้ให้แก่มูลหนี้อื่น และเป็นการชำระหนี้ด้วยสิ่งอื่น • สัญญาตั๋วเงินสัญญาตั๋วเงินเป็นการชำระหนี้ที่มีเงื่อนไขไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่ • สัญญาตั๋วเงินเป็นตราสารเปลี่ยนมือ • สัญญาตั๋วเงินมีวัตถุแห่งหนี้ เป็นเงินตรา
1. สัญญาตั๋วเงินเป็นสัญญาซึ่งเกิดขึ้นเพื่อชำระหนี้ให้แก่มูลหนี้อื่น และเป็นการชำระหนี้ด้วยสิ่งอื่น ม.320 “อันการจะบังคับให้เจ้าหนี้รับชำระหนี้แต่เพียงบางส่วน หรือให้รับชำระหนี้เป็นอย่างอื่นผิดไปจากที่จะต้องชำระแก่เจ้าหนี้นั้น ท่านว่าหาอาจจะบังคับได้ไม่” ม.321 “ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป ........................................................................................ ถ้าชำระหนี้ด้วยออก ด้วยโอน หรือด้วยสลักหลังตั๋วเงินหรือประทวนสินค้าท่านว่าหนี้นั้นจะระงับสิ้นไปต่อเมื่อตั๋วเงินหรือประทวนสินค้านั้นได้ใช้เงินแล้ว”
1.1 สัญญาตั๋วเงินเป็นสัญญาซึ่งเกิดขึ้นเพื่อชำระหนี้ให้แก่มูลหนี้อื่น • ต้องมีมูลหนี้อื่น มูลหนี้ตั๋วเงินจึงจะสมบูรณ์ ถ้ามูลหนี้อื่นไม่มี มูลหนี้ตั๋วเงินก็ไม่สมบูรณ์ ผู้ซื้อบอกเลิกสัญญาซื้อขาย เนื่องจากผู้ขายผิดนัด ส่งมอบทรัพย์ ผู้ขาย ผู้ซื้อ ชำระราคา= เงิน ผู้ซื้อไม่ต้องรับผิดตามสัญญา ตั๋วเงินต่อผู้ขาย สัญญาตั๋วเงิน
1.2 สัญญาตั๋วเงินเป็นสัญญาซึ่งเกิดขึ้นเพื่อชำระหนี้ให้แก่มูลหนี้อื่น และเป็นการชำระหนี้ด้วยสิ่งอื่น • เจ้าหนี้ต้องยอมรับชำระหนี้ด้วยสัญญาตั๋วเงิน ลูกหนี้จึงจะชำระหนี้ด้วยสัญญาตั๋วเงินได้ คืนเงิน ผู้ให้กู้ ผู้กู้ ตั๋วเงิน
ส.กู้ยืม ส่งมอบทรัพย์ ธนาคาร ผู้ขาย ผู้ซื้อ ชำระราคา= เงิน คืนเงิน ออกตั๋วเงิน โอนตั๋ว
2. สัญญาตั๋วเงินเป็นการชำระหนี้ที่มีเงื่อนไขไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่ ม.321 “ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป ........................................................................................ ถ้าชำระหนี้ด้วยออก ด้วยโอน หรือด้วยสลักหลังตั๋วเงินหรือประทวนสินค้าท่านว่าหนี้นั้นจะระงับสิ้นไปต่อเมื่อตั๋วเงินหรือประทวนสินค้านั้นได้ใช้เงินแล้ว”
ตราบใดที่สัญญาตั๋วเงินยังไม่มีการใช้เงิน คู่สัญญาย่อมมีมูลหนี้ที่ผูกพันกันสองมูลหนี้ คือ มูลหนี้อันเป็นมูลเหตุของการออก โอน ตั๋วเงิน กับมูลหนี้สัญญาตั๋วเงิน • ถ้ามีการใช้เงินตามสัญญาตั๋วเงิน ก็จะเป็นเหตุให้สัญญาตั๋วเงินระงับเพราะมีการใช้เงิน และทำให้มูลหนี้อันเป็นมูลเหตุของการออก โอน ตั๋วเงินตามไปด้วย ตาม ป.พ.พ. ม.321 ว.3
นิติกรรมที่ 1 ส่งมอบทรัพย์ ผู้ขาย ผู้ซื้อ ชำระราคา= เงิน นิติกรรมที่ 2 สัญญาตั๋วเงิน
นิติกรรมที่หนึ่ง นิติกรรมที่หนึ่ง ส.กู้ยืม ส่งมอบทรัพย์ ธนาคาร ผู้ขาย ผู้ซื้อ ชำระราคา= เงิน คืนเงิน โอนตั๋ว ออกตั๋วเงิน นิติกรรมที่สอง นิติกรรมที่สอง
3. สัญญาตั๋วเงินมีลักษณะเป็นตราสารเปลี่ยนมือ • ต้องมีรายการตามที่กฎหมายกำหนด • ม.909, ม.983, ม.988 • สามารถโอนได้ตามวิธีการโอนตราสารเปลี่ยนมือ ไม่ต้องโอนตามวิธีการโอนสิทธิเรียกร้องสามัญ • ม.918, ม.919 • ให้ความคุ้มครองต่อผู้รับโอนตราสาร • ม.312 • ถ้าปราศจากตราสาร สิทธิตามสัญญาตั๋วเงินก็สูญสิ้นไปด้วย
4. สัญญาตั๋วเงินมีวัตถุแห่งหนี้ เป็นเงินตรา • สัญญาตั๋วเงินเป็นการชำระหนี้ให้แก่มูลหนี้ ที่มีวัตถุแห่งหนี้เป็นเงินตรา ดังนั้น สัญญาตั๋วเงินจึงมีวัตถุแห่งหนี้เป็นเงินตรา ธนาคาร ขึ้นเงิน ส่งมอบทรัพย์ เงิน ผู้ขาย ผู้ซื้อ ชำระราคา= เงิน เช็ค
ประเภทของสัญญาตั๋วเงินประเภทของสัญญาตั๋วเงิน ม.898 “อันตั๋วเงินตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายนี้มีสามประเภทๆหนึ่ง คือตั๋วแลกเงิน ประเภทหนึ่งคือตั๋วสัญญาใช้เงิน ประเภทหนึ่งคือเช็ค” -ตั๋วแลกเงิน (Bill of Exchange) -ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note) -เช็ค (Cheque) สัญญาตั๋วเงิน -ตราสารเปลี่ยนมืออื่นๆ ไม่เป็นตั๋วเงินเช่น ใบหุ้น ใบประทวนสินค้า L/C
ตั๋วแลกเงิน (Bill of Exchange) ผู้จ่าย สัญญากู้ยืม (ผู้กู้) (ผู้ให้กู้) ข ก ผู้สั่งจ่าย ผู้รับเงิน ชำระเงินคืนด้วยการออกตั๋วเงิน
ตั๋วแลกเงิน (Bill of Exchange) ตั๋วแลกเงิน วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 ถึง ข. โปรดจ่ายเงิน ค. หรือผู้ถือ เมื่อเห็นตั๋วฉบับนี้จำนวน10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ลงชื่อ ก ผู้สั่งจ่าย
ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note) สัญญากู้ยืม ธนาคาร .ข (ผู้ให้กู้) ก (ผู้กู้) ผู้ออกตั๋ว ผู้รับเงิน ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน
ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note) ตั๋วสัญญาใช้เงิน วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 ข้าพเจ้าสัญญาว่าจะใช้เงินให้แก่ ข. เมื่อสิ้นกำหนดเวลา 60 วันนับแต่เห็นตั๋วฉบับนี้จำนวน10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ลงชื่อ ก ผู้สั่งจ่าย
ธนาคาร สัญญาซื้อขาย ข ก (ผู้ขาย) (ผู้ซื้อ) ผู้สั่งจ่าย ผู้รับเงิน ออกตั๋วชำระหนี้ เช็ค (Cheque)
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 โปรดจ่าย ค. หรือผู้ถือ จำนวน10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) เช็คเลขที่ 12345678 ลงชื่อ ก ผู้สั่งจ่าย
การออกตั๋วแลกเงิน ตั๋วแลกเงิน ข้อความซึ่งผู้สั่งจ่ายจะเขียนลงในสัญญาตั๋วแลกเงิน มีอยู่ 2 ลักษณะ -ข้อความที่กฎหมายบังคับว่าต้องมี -ข้อความที่สามารถเขียนเพิ่มลงไปได้(option)
ตั๋วแลกเงิน ม.908 “ตั๋วแลกเงิน คือหนังสือที่บุคคลคนหนึ่งอันเรียกว่าผู้สั่งจ่าย สั่งให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า ผู้จ่าย ให้จ่ายเงินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งอันเรียกว่าผู้รับเงิน” ตั๋วแลกเงิน วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 ถึง ข. โปรดจ่ายเงิน ค. หรือผู้ถือ เมื่อเห็นตั๋วฉบับนี้จำนวน10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ลงชื่อ ก ผู้สั่งจ่าย
ตั๋วแลกเงิน (Bill of Exchange) ม.908 “ตั๋วแลกเงิน คือหนังสือที่บุคคลคนหนึ่งอันเรียกว่าผู้สั่งจ่าย สั่งให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า ผู้จ่าย ให้จ่ายเงินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งอันเรียกว่าผู้รับเงิน” ผู้จ่าย ข สัญญากู้ยืม (ผู้ให้กู้) ค ก (ผู้กู้) ผู้สั่งจ่าย ผู้รับเงิน ชำเงินคืนด้วยการออกตั๋วเงิน ตั๋วแลกเงิน
ข้อความที่กฎหมายบังคับว่าต้องมีในตั๋วเงิน ม.909 • ก. คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วแลกเงินม.909 (1) • คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วแลกเงิน ซึ่งจะเป็นภาษาไทยหรือภาษาอื่นก็ได้ • ตั๋วแลกเงิน • Bill of Exchange • ปรากฏที่ส่วนใดของตราสารนั้นก็ได้
ตั๋วแลกเงิน วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 ถึง ข. โปรดจ่ายเงิน ค. หรือผู้ถือ เมื่อเห็นตั๋วฉบับนี้จำนวน10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ลงชื่อ ก ผู้สั่งจ่าย
วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 ถึง ข. โปรดจ่ายเงิน ค. หรือผู้ถือ เมื่อเห็นตั๋วแลกเงินฉบับนี้จำนวน10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ลงชื่อ ก ผู้สั่งจ่าย
ข. คำสั่งปราศจากเงื่อนไขให้จ่ายเงินเป็นจำนวนแน่นอนม.909 (2) • ข. 1 มีลักษณะเป็นคำสั่ง หมายถึง ข้อความที่ระบุให้ผู้จ่ายกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด(ใช้เงินให้แก่ผู้รับเงิน) • “โปรดจ่าย................................................................” • “จ่าย........................................................................” • “กรุณาจ่าย..............................................................” • “ถ้าท่านจะกรุณา.....................................................” • “ถ้าท่านเห็นใจ........................................................”
ข. 2 คำสั่งนั้นจะต้องเป็นคำสั่งที่ปราศจากเงื่อนไขในการจ่ายเงิน หมายความว่า หากผู้รับเงินนำตั๋วแลกเงินยื่นให้ผู้จ่ายใช้เงินผู้จ่ายจะต้องจ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินนั้นโดยไม่มีเงื่อนไข • ผู้จ่ายมีสิทธิเลือกที่จะจ่ายหรือไม่จ่าย ได้เท่านั้น • ผู้จ่ายจะสร้างเงื่อนไขในการจ่ายเงินไม่ได้ • ผู้จ่ายมีสิทธิสอบสวนถึงตัวผู้ทรงตราสารตาม ม.310 เท่านั้น
ตั๋วแลกเงิน วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 ถึง ข. โปรดจ่ายเงิน ค. หรือผู้ถือ เมื่อเห็นตั๋วฉบับนี้จำนวน10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ลงชื่อ ก ผู้สั่งจ่าย
วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 ถึง ข. โปรดจ่ายเงิน ค. หรือผู้ถือ เมื่อเห็นตั๋วแลกเงินฉบับนี้จำนวน10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ลงชื่อ ก ผู้สั่งจ่าย ขณะที่ ค. ยื่นตั๋วให้ ข.ใช้เงินนั้น ข. จะสร้างเงื่อนไข ว่าต้องรอให้ตน ได้รับชำระหนี้จาก ก. ก่อนไม่ได้
ข. 3 คำสั่งนั้นจะต้องเป็นคำสั่งให้จ่ายเงินอันเป็นจำนวนแน่นอน คำสั่งให้จ่ายเงินจำนวนแน่นอน • หมายถึง จำนวนเงินที่ผู้จ่ายจะต้องจ่ายตามตั๋วแลกเงินนั้นจะต้องสามารถที่จะคิดคำนวณได้จากหน้าตั๋วแลกเงิน • ไม่จำเป็นต้องเป็นจำนวนที่คงที่ แต่ต้องสามารถคิดคำนวณได้ เช่น ในตั๋วแลกเงินอาจจะมีการระบุดอกเบี้ยลงในตั๋วก็ได้
วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 ถึง ข. โปรดจ่ายเงิน ค. หรือผู้ถือ เมื่อเห็นตั๋วแลกเงินฉบับนี้จำนวน10,000 x 15 บาท 100 ลงชื่อ ก ผู้สั่งจ่าย
ค. ชื่อ หรือยี่ห้อผู้จ่าย • ชื่อ หรือยี่ห้อผู้จ่ายซึ่งหมายถึง บุคคลอันผู้สั่งจ่ายออกคำสั่งให้เป็นผู้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงิน ซึ่งผู้จ่ายนั้นจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ • อนึ่งผู้จ่ายนั้นหากยังมิได้ลงลายมือชื่อในตั๋วก็ยังไม่มีความรับผิดตามตั๋วเงิน คงเป็นฐานะเป็นเพียงบุคคลที่ผู้ทรงจะนำตั๋วเงินนั้นไปยื่นให้ใช้เงินเท่านั้น
ง. วันถึงกำหนดใช้เงิน • คือ วันที่ผู้ทรงจะนำตั๋วแลกเงินไปยื่นให้ผู้จ่ายหรือผู้รับรองใช้เงินตามตั๋วแลกเงินนั้น
วันถึงกำหนดใช้เงินตามตั๋วแลกเงินนั้นจะเป็นวันใดวันหนึ่งตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 913 ก็ได้ กล่าวคือ • 1. ในวันใดวันหนึ่งที่กำหนดไว้ ได้แก่ วันใดวันหนึ่งอันผู้สั่งจ่ายกำหนดลงไว้เป็นอันแน่นอนว่าวันใด เช่น วันที่ 15 พ.ย. 2549 วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 ถึง ข. โปรดจ่ายเงิน ค. หรือผู้ถือ ในวันที่ 15 พ.ย. 2549จำนวน10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ลงชื่อ ก ผู้สั่งจ่าย
2. เมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่วันที่ลงในตั๋ว • เช่น “เมื่อสิ้นกำหนดเวลา 30 วันนับแต่วันที่ 1 มกราคม 2546 วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 ถึง ข. โปรดจ่ายเงิน ค. หรือผู้ถือ เมื่อสิ้นกำหนดเวลา 30 วันนับแต่วันออกตั๋วเงิน จำนวน10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ลงชื่อ ก ผู้สั่งจ่าย
ยื่นตั๋วให้ใช้เงิน ออกตั๋ว 30 วัน
3. เมื่อทวงถาม หรือเมื่อได้เห็น • เมื่อทวงถาม ได้แก่ เมื่อผู้ทรงได้มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้ผู้จ่ายใช้เงิน • เช่น ให้ใช้เงินเมื่อทวงถามแก่.....นาย ค....... • เมื่อได้เห็น ได้แก่ เมื่อผู้ทรงได้ยื่นตั๋วให้ผู้จ่ายได้เห็นตั๋ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ใช้เงิน
วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 ถึง ข. โปรดจ่ายเงิน ค. หรือผู้ถือ เมื่อทวงถามจำนวน10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ลงชื่อ ก ผู้สั่งจ่าย