1 / 23

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การสื่อสารข้อมูลและระบบเครือข่าย

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การสื่อสารข้อมูลและระบบเครือข่าย. แผนการ จัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง สื่อและอุปกรณ์เครือข่าย. สื่อที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูล. 1. สายคู่ตีเกลียว ( Twisted pair).

qamar
Télécharger la présentation

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การสื่อสารข้อมูลและระบบเครือข่าย

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การสื่อสารข้อมูลและระบบเครือข่าย แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง สื่อและอุปกรณ์เครือข่าย

  2. สื่อที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลสื่อที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูล

  3. 1. สายคู่ตีเกลียว (Twisted pair) ในการส่งข้อมูลจะต้องมีสายหนึ่งเป็นสายข้อมูล และอีกสายหนึ่งเป็นสายกราวน์ (ground) เมื่อมีข้อมูลหรือมีกระแสไฟฟ้าไหลในสายด้วยความ เร็วสูงจะทำให้มีสัญญานรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้าเกิดขึ้น ดังนั้นจึงต้องนำสายทั้งสองเส้นมาพันเป็นเกลี่ยวเพื่อลดสัญญานรบกวนดังกล่าว จึงเรียนกว่าสายคู่ตีเกลียว สายคู่ตีเกลียวจะมี 2 ประเภทด้วยกัน คือ 1. สายคู่บิดเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน (Unshielded Twisted Pair : UTP) 2. สายคู่บิดเกลียวชนิดมีหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pair : STP)

  4. 1. สายคู่บิดเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน (Unshielded Twisted Pair : UTP) สายประเภทนี้เรียกสั้นๆว่า สาย UTP เป็นสายโทรศัพท์ที่ใช้กันอยู่ทั่วไป สายทองแดงแต่ละเส้นจะมีฉนวนหุ้ม แต่จะไม่มีฉนวนหุ้มระหว่างชั้นนอกกับสายทองแดง

  5. 1. สายคู่บิดเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน (Unshielded Twisted Pair : UTP) มาตรฐานของสาย UTP นั้นจะมีการแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ (Category)

  6. 1. สายคู่บิดเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน (Unshielded Twisted Pair : UTP) สาย UTP จะมีสายสัญญาณอยู่จำนวน 4 คู่ 8 เส้น ประกอบด้วย • เขียว - ขาวเขียว • ส้ม - ขาวส้ม • น้ำเงิน - ขาวน้ำเงิน • น้ำตาล – ขาวน้ำตาล

  7. 2. สายคู่บิดเกลียวชนิดมีหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pair : STP) • สายสัญญานแบบ STP จะมีฉนวนพิเศษหุ้มเพื่อป้องกันคลื่นรบกวนจากมอเตอร์ไฟฟ้า สายไฟฟ้า หรือจากแหล่งอื่นๆ • นอกจากฉนวนที่หุ้มรอบลวดทองแดงแล้ว สาย STP ยังมีชั้นโลหะหุ้มรอบลวดทองแดงทั้งหมดอีกด้วย ชั้นโลหะนี้อาจเป็นแผ่นฟอยล์ หรือโลหะถักรอบ • ซึ่งชั้นโลหะที่เป็นแบบถักจะเป็นฉนวนดีกว่า แต่จะทำให้สายมีน้ำหนักมาก ขนาดใหญ่ และมีราคาที่สูงขึ้นอีกด้วย

  8. 2. สายโคแอกเชียล (Coaxial) • นิยมเรียกกันสั้นๆว่า สายโคแอก มีลักษณะเป็นสายกลม ใช้ลวดทองแดง • เป็นแกนกลางของสายสัญญานเพื่อนำสัญญาน • รอบๆลวดทองแดงจะมีการหุ้มด้วยฉนวนกันไฟฟ้า เพื่อแยกแกนกลาง • ออกจากลวดทองแดงด้านนอกที่ทำหน้าที่เป็นสายดินเพื่อช่วยลดคลื่นรบกวน และป้องกันการช็อตจากการที่ลวดทองแดงทั้งสองสัมผัสกัน

  9. 2. สายโคแอกเชียล (Coaxial) • สายโคแอกเชียลมีความหนาเนื่องจากขนาดของลวดทองแดงที่เป็นแกนกลาง • และฉนวนภายในที่หุ้มรอบลวดทองแดง ทำให้สายโคแอกเชียลมีความหนาและมีน้ำหนักมาก ซึ่งยากต่อการติดตั้งและการใช้งาน • สายโคแอกเชียลยังมีจุดอ่อนด้านความเร็วในการรับส่งข้อมูลภายในเครือข่าย • อีกด้วย • เพราะสายสัญญานจะมีความเร็วจำกัดที่ 10 Mbps และไม่สามารถเพิ่ม • ความเร็วให้มากขึ้นไปได้อีก

  10. 3. สายใยแก้วนำแสง (Optical Fiber) • สายใยแก้วนำแสงหรือสายไฟเบอร์ออปติกถูกสร้างจากซิลิกอนออกไซต์ทำให้มีลักษณะคล้ายท่อแก้วหรือพลาสติก • เป็นสายสัญญานแบบพิเศษ เพราะไม่ใช้สัญญานไฟฟ้าในการรับส่งข้อมูล • แต่สายใยแก้วนำแสงจะใช้คลื่นแสง (Photon) ในการส่งชุดข้อมูลจาก • โหนดหนึ่งไปยังอีกโหนดหนึ่ง

  11. 3. สายใยแก้วนำแสง (Optical Fiber) • สายใยแก้วนำแสงจะมีความเร็วในการส่งข้อมูลได้สูงที่สุดกว่าสายประเภทอื่นๆ • สายใยแก้วนำแสงจะเป็นสายสัญญานที่เกือบจะไม่มีปัญหาเรื่อง สัญญานรบกวนภายในสายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า • สายใยแก้วนำแสงเหมาะสำหรับการใช้เป็นแบ็กโบน (Backbone) ที่ต้องส่งข้อมูลในปริมาณมาก และต้องการความเร็วสูงๆ

  12. อุปกรณ์ที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลอุปกรณ์ที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูล

  13. 1.โมเด็ม (Modem) • โมเด็ม (Modem) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลทางโทรศัพท์ • โมเด็มจะทำงานในการแปลงสัญญานระหว่างสัญญานดิจิตอลและสัญญาน • อนาล็อก เพื่อส่งข้อมูลดิจิตอลผ่านสายโทรศัพท์นั่นเอง • ในปัจจุบันมีโมเด็มให้เลือกใช้อยู่ 3 ชนิด คือ

  14. 1.โมเด็ม (Modem) (ต่อ) 1. โมเด็มแบบอินเทอร์นอล เป็นโมเด็มที่มีลักษณะเป็นการ์ดเสียบเข้ากับเมนบอร์ด ซึ่งเป็นแผงวงจรติดตั้งอยู่ภายในเคส (Case) 2. โมเด็มแบบ เอ็กซ์เทอร์นอล (External modem) เป็นโมเด็มที่มีลักษณะเป็นกล่องแยกออกมาต่างหาก อาศัยช่องเสียบด้านหลังเคส (Case) ที่เรียกว่า “พอร์ต (Port)” เป็นจุดเชื่อมต่อกับเมนบอร์ด 3. โมเด็มแบบไร้สาย (Wireless Modem) ใช้การสื่อสารด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแต่ปัจจุบันจะมีราคาสูงกว่าโมเด็มเอ็กซ์เทอร์นอลและอินเทอร์นอล

  15. 1.โมเด็ม (Modem) (ต่อ) ภาพการทำงานของโมเด็ม

  16. 2. รีพีตเตอร์(Repeater) ทำหน้าที่ในการเดินสัญญาณ คือช่วยขยายสัญญาณไฟฟ้าที่ส่งบนสาย Lan ให้แรงขึ้นและจัดรูปสัญญาณที่เพื้ยนให้กลับเป็นเหมือนเดิม

  17. 3. ฮับ(Hub) ทำหน้าที่เปรียบเสมือนศูนย์กลางที่กระจายข้อมูล ช่วยให้คอมพิวเตอร์ต่างๆบนเครือข่ายสามารถสื่อสารถึงกันได้

  18. 3. ฮับ(Hub) ภาพการทำงานของฮับ

  19. 4. บริดจ์ (Bridge) เป็นอุปกรณ์เครือข่ายที่เชื่อมเครือข่าย LAN 2 เครือข่ายเข้าด้วยกันเสมือนเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่าง 2 เครือข่าย บริดจ์มีความสามารถมากกว่าฮับและรีพีตเตอร์ กล่าวคือ สามารถกรองข้อมูลที่จะส่งได้

  20. 4. บริดจ์ (Bridge) ภาพการทำงานของบริดจ์

  21. 5. เราท์เตอร์ (Router) เราท์เตอร์(Router) มีหน้าที่สำคัญคือ สามารถกำหนดหรือแลกเส้นทางในการรับ-ส่งข้อมูลจากเครือข่ายคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังอีกเครือข่ายหนึ่ง หรือเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ โดยการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดในการส่งข้อมูลไป

  22. 6. เกตเวย์(Gateway) เป็นอุปกรณ์ที่มีความสามารถสูงกว่าเราท์เตอร์ ถ้าหากระบบเครือข่ายมีโปรโตคอลสำหรับการสื่อสารที่แตกต่างกัน หรือมีขนาดเครือข่ายต่างกัน แต่ต้องการสื่อสารถึงกัน ตัวเกตเวย์นี้จะช่วยให้ระบบเครือข่ายสามารถสื่อสารกันได้

  23. 7. สวิตซ์(Switch) สวิตซ์(Switch) มีความฉลาดมากกว่าฮับ จะใช้สำหรับเชื่อมโยงเครือข่ายย่อยๆเข้าด้วยกัน การทำงานของสวิตซ์นี้ เมื่อโหนดใดส่งข้อมูลเข้ามายังสวิตซ์ มันจะรับข้อมูลที่เข้ามาทางพอร์ตนั้น และตรวจสอบที่อยู่ของผู้รับ จากนั้นจะส่งข้อมูลไปยังพอร์ตของผู้รับเท่านั้น โดยจะไม่ส่งไปยังพอร์ตอื่นๆในเครือข่าย

More Related