1 / 56

บทที่ 5 ขอบเขตการใช้กฎหมาย

บทที่ 5 ขอบเขตการใช้กฎหมาย. 1.การใช้กฎหมายเกี่ยวกับเวลา คือ กฎหมายนั้นจะเริ่มใช้เมื่อใด 2.การใช้กฎหมายเกี่ยวกับสถานที่ คือ จะนำกฎหมายนั้นไปใช้ที่ไหนได้บ้าง 3.การใช้กฎหมายเกี่ยวกับบุคคล คือ ใครบ้างที่จะต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายฉบับนั้น. 1.การใช้กฎหมายเกี่ยวกับเวลา. 1.1 การประกาศใช้กฎหมาย.

Télécharger la présentation

บทที่ 5 ขอบเขตการใช้กฎหมาย

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. บทที่ 5ขอบเขตการใช้กฎหมาย • 1.การใช้กฎหมายเกี่ยวกับเวลา คือ กฎหมายนั้นจะเริ่มใช้เมื่อใด • 2.การใช้กฎหมายเกี่ยวกับสถานที่ คือ จะนำกฎหมายนั้นไปใช้ที่ไหนได้บ้าง • 3.การใช้กฎหมายเกี่ยวกับบุคคล คือ ใครบ้างที่จะต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายฉบับนั้น

  2. 1.การใช้กฎหมายเกี่ยวกับเวลา1.การใช้กฎหมายเกี่ยวกับเวลา

  3. 1.1 การประกาศใช้กฎหมาย • การระบุเวลาเริ่มต้นใช้บังคับของกฎหมายลายลักษณ์อักษรนั้น ในทางปฏิบัติกำหนดไว้ดังนี้ (มักจะปรากฏในมาตรา 2) • (1) กรณีปกติ • (2) กรณีรีบด่วน • (3)เริ่มใช้บังคับ โดยกำหนดวันที่แน่นอนหรือกำหนดให้ใช้เมื่อระยะเวลาหนึ่งได้ล่วงพ้นไป • (4) กำหนดให้มีผลใช้บังคับในวันถัดจากวันที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว แต่การจะนำพระราชบัญญัติฉบับนั้นไปใช้จริงๆ ในท้องที่ใด เวลาใด ก็ให้ประกาศในพระราชกฤษฎีกาอีกชั้นหนึ่ง

  4. กฎหมายไม่มีผลย้อนหลังกฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง • กฎหมายจะใช้บังคับแก่กรณีที่เกิดขึ้นในอนาคตนับแต่วันที่ประกาศใช้กฎหมายเป็นต้นไปเท่านั้น

  5. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 • “บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้” • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2406/2523 • จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินก่อนกฎกระทรวงกำหนดเขตให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติใช้บังคับ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด ศาลมีอำนาจยกฟ้องได้เลย

  6. ถ้าไม่ใช่โทษทางอาญาย้อนหลังได้ถ้าไม่ใช่โทษทางอาญาย้อนหลังได้ • คำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญที่ 3-5/2550 • ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ ฉบับที่ 27 ข้อ 3 ที่ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีกำหนด 5 ปี แม้เป็นบทบัญญัติที่มีผลให้กรรมการบริหารพรรคการเมืองที่กระทำการต้องห้ามก่อนที่ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับต้องรับผลร้ายเพิ่มขึ้น แต่การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมิใช่โทษทางอาญา แต่เป็นเพียงมาตรการเพื่อมิให้กรรมการบริหารพรรคการเมืองมีโอกาสที่จะกระทำการอันเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายซ้ำอีกในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ประกาศฉบับที่ 27 ข้อ 3 จึงมีผลใช้บังคับย้อนหลังแก่การกระทำอันเป็นเหตุยุบพรรคในคดีนี้ได้

  7. คำพิพากษาฎีกาที่ 6602/2550 • พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เป็นกฎหมายที่กำหนดมาตรการทางแพ่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินในกรณีที่ศาลเชื่อว่าทรัพย์สินตามคำร้องเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน โดยมิต้องคำนึงว่าทรัพย์สินนั้นผู้เป็นเจ้าของหรือผู้รับโอนทรัพย์สินจะได้มาก่อนพระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับหรือไม่ เพราะมาตรการดังกล่าวมิใช่โทษทางอาญา จึงมีผลใช้บังคับได้

  8. 1.2 การมีผลย้อนหลังของกฎหมายอาญา • (1) กฎหมายนั้นเป็นกฎหมายที่ยกเลิกความผิดเดิม • บทบัญญัติในประมวลอาญามาตรา 2 วรรคสอง บัญญัติว่า “ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายในภายหลังบัญญัติให้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิดอีกต่อไป ให้ผู้ได้ที่กระทำนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด และถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดนั้น ถ้ารับโทษอยู่ก็ให้การรับโทษนั้นสิ้นสุดลง”

  9. (2) กฎหมายนั้นเป็นคุณแก่ผู้กระทำ • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรคแรก • “ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด”

  10. 1.3การยกเลิกกฎหมาย • (1) การยกเลิกกฎหมายโดยตรง • ก.มีกำหนดเวลายกเลิกกฎหมายไว้ในกฎหมายฉบับนั้นเอง • ข. มีกฎหมายฉบับใหม่ที่มีลักษณะเช่นเดียวกันระบุยกเลิกไว้โดยตรง • ค.เมื่อได้ประกาศใช้พระราชกำหนด แต่ต่อมารัฐสภาไม่อนุมัติพระราชกำหนดนั้น ในกรณีเช่นนี้ก็มีผลเป็นการยกเลิกพระราชกำหนดไปในตัว แต่ไม่มีผลกระทบต่อกิจการที่ได้ทำไปในระหว่างที่บังคับใช้พระราชกำหนดนั้น

  11. (2) การยกเลิกกฎหมายโดยปริยาย • ก. กฎหมายใหม่และกฎหมายเก่ามีบทบัญญัติเป็นอย่างเดียวกัน กรณีนี้ต้องถือว่ากฎหมายใหม่ยกเลิกกฎหมายเก่า • ข. กรณีที่กฎหมายใหม่และกฎหมายเก่ามีข้อความขัดแย้งกันหรือไม่ตรงกัน จึงถือว่ากฎหมายใหม่ยกเลิกกฎหมายเก่าโดยปริยาย

  12. (3) การยกเลิกกฎหมายโดยศาลรัฐธรรมนูญ • ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในเรื่องศักดิ์ของกฎหมายว่า กฎหมายที่มีศักดิ์ต่ำกว่าจะมีข้อความขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดไม่ได้ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมายนั้นใช้บังคับไม่ได้เท่ากับว่ากฎหมายนั้นถูกยกเลิกไปด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

  13. 2. การใช้กฎหมายเกี่ยวกับสถานที่

  14. กฎหมายของรัฐใดย่อมใช้บังคับเฉพาะภายในดินแดนของรัฐนั้นเองตาม “หลักดินแดน” คือใช้บังคับทั่วราชอาณาจักร

  15. ราชอาณาจักร หมายถึง • (1) พื้นดินในประเทศไทย รวมถึงแม่น้ำลำคลองในประเทศไทยด้วย • (2) ทะเลอันเป็นอ่าวไทย • (3) ทะเลอันห่างจากฝั่งที่เป็นดินแดนของประเทศไทยไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล • (4) พื้นอากาศเหนือ (1) (2) และ (3) • (5) เรือไทยและอากาศยานไทย

  16. ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 4 • “ผู้ใดกระทำความผิดในราชอาณาจักร ต้องรับโทษตามกฎหมาย • การกระทำความผิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทยไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ให้ถือว่ากระทำความผิดในราชอาณาจักร” • สถานทูตไทยในต่างประเทศ?

  17. มีกฎหมายบางฉบับที่ไม่นำไปใช้ทั่วประเทศ แต่ใช้เฉพาะท้องที่ใดท้องที่หนึ่ง เช่น พรบ.ว่าด้วยกฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา สตูล พ.ศ.2498 ซึ่งบัญญัติถึงเรื่องการวินิจฉัยคดีแพ่งที่เกี่ยวกับครอบครัวและมรดกของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามในเขตจังหวัดดังกล่าว

  18. กฎหมายบางฉบับบังคับแก่การกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรได้ เช่น • 1.พรบ.ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ.2481 ซึ่งเป็นกฎหมายที่กล่าวถึงการที่มีข้อเท็จจริงใดข้อเท็จจริงหนึ่งไปพัวพันกับต่างประเทศไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ทำให้เกิดปัญหาว่าจะนำกฎหมายของประเทศใดมาใช้บังคับ ถ้าคู่กรณีตกลงกันที่จะนำกฎหมายใดมาใช้คงจะไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าหากไม่ได้ตกลงกันไว้ เมื่อเกิดปัญหาในการฟ้องร้องคดี ศาลต้องนำพรบ.ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมายมาใช้ในการพิจารณา

  19. 2.ประมวลกฎหมายอาญา ให้ศาลไทยพิจารณาพิพากษาความผิดที่แม้จะกระทำนอกราชอาณาจักรได้ 2 กรณี • ก. กรณีเกี่ยวกับสภาพของความผิด (ป.อ.มาตรา 7) • ได้แก่ ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ความผิดเกี่ยวกับการปลอมและการแปลง ความผิดเกี่ยวกับเพศ ความผิดฐานชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์ซึ่งได้กระทำในทะเลหลวง

  20. ข. กรณีเกี่ยวกับตัวผู้กระทำ • 1. เมื่อคนไทยได้กระทำความผิดนอกราชอาณาจักรและรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้น หรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ • 2.เมื่อคนต่างด้าวไปกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร โดยรัฐบาลไทยหรือคนไทยเป็นผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ • 3.เจ้าพนักงานของรัฐบาลไทยกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่นอกราชอาณาจักร • จะต้องรับโทษในราชอาณาจักร

  21. 3. การใช้กฎหมายเกี่ยวกับบุคคล

  22. มีข้อยกเว้นอยู่ 2 ประการที่กฎหมายของไทยจะไม่ใช้บังคับกับบุคคลบางจำพวก • 1. ข้อยกเว้นตามกฎหมายไทย • ก. ตามรัฐธรรมนูญ • 1) พระมหากษัตริย์ มาตรา 8 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 บัญญัติว่า • “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ • ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้” • The King can do no wrong

  23. 2) สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่อยู่ในที่ประชุมสภาใดสภาหนึ่ง หรือทั้งสองสภาร่วมกัน และบุคคลที่ประธานสภาฯ อนุญาตให้แถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นในสภา รวมตลอดถึงบุคคลผู้พิมพ์และโฆษณารายงานการประชุมและผู้ดำเนินการถ่ายทอดการประชุมสภาทางวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ที่ได้รับอนุญาตจากประธานสภา ย่อมได้รับเอกสิทธิ์ที่ผู้ใดจะฟ้องร้องกล่าวหาสมาชิกไม่ได้ ไม่ว่าในทางใดตามมาตรา 130 แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550

  24. ข. ตามกฎหมายอื่น ๆ • เช่น การไม่เก็บภาษีบางประเภทจากทหารที่เคยออกไปราชการสงคราม หรือกฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชนยกเว้นการมีบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่บุคคลบางประเภท เช่น พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เป็นต้น

  25. (2) ข้อยกเว้นตามกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง • การยกเว้นไม่ใช้บังคับกฎหมายกับบุคคลดังต่อไปนี้ ได้แก่ • 1. ประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ รวมทั้งข้าราชบริพาร • 2.ทูต สมาชิกในสถานทูต รวมทั้งครอบครัวและบริวาร • 3.กองทัพต่างประเทศที่เข้ามายึดครองราชอาณาจักร • 4.บุคคลที่มีกฎหมายพิเศษให้ได้รับเอกสิทธิและความคุ้มกัน

  26. บทที่ 6การตีความและการอุดช่องว่างของกฎหมาย การตีความกฎหมาย (interpretation of law) ? การค้นหาความหมายของกฎหมายที่มีถ้อยคำไม่ชัดเจนหรืออาจแปลได้หลายทาง เพื่อทราบว่าถ้อยคำในกฎหมายมีความหมายอย่างไร

  27. หลักพื้นฐานในการตีความกฎหมายไทยปรากฏอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “กฎหมายนั้นต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใด ๆ แห่งกฎหมายตามตัวอักษร หรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้นๆ”

  28. การตีความตามตัวอักษร • เป็นการพิจารณาความหมายของกฎหมายจากตัวบทกฎหมายนั้น แยกออกได้เป็น 3 ประการคือ • 1. กรณีใช้ภาษาสามัญ • 2. กรณีใช้ภาษาทางวิชาการหรือภาษาเทคนิค • 3. กรณีที่กฎหมายได้ให้บทนิยามความหมายไว้

  29. เช่น ประมวลกฎหมายอาญาได้ให้คำนิยามความหมายของอาวุธไว้ ซึ่งโดยทั่วไปคนจะนึกถึง ปืน มีด เป็นต้น แต่กฎหมายได้ให้ความหมายกว้างกว่านั้นโดยให้ครอบคลุมถึงสิ่งต่าง ๆ ที่แม้โดยสภาพไม่ใช่อาวุธ แต่โดยเจตนาผู้ใช้ต้องการให้เป็นอาวุธก็อยู่ในความหมายของอาวุธด้วย ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1(5) “อาวุธ” หมายความรวมถึง สิ่งซึ่งไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ แต่ซึ่งได้ใช้หรือเจตนาจะใช้ประทุษร้ายร่างกายถึงอันตรายสาหัสอย่างอาวุธ

  30. ประมวลกฎหมายที่ดิน • มาตรา 1 • "ที่ดิน" หมายความว่า ผืนที่ดินทั่วไป และให้หมายความรวมถึง ภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง บาง ลำน้ำ ทะเลสาบ เกาะ และที่ชายทะเลด้วย

  31. การตีความตามเจตนารมณ์การตีความตามเจตนารมณ์ • คือ การค้นหาความหมายของถ้อยคำในบทกฎหมายจากเจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายของกฎหมายนั้น ๆ

  32. สิ่งที่ช่วยในการตีความสิ่งที่ช่วยในการตีความ 1. ชื่อของกฎหมายนั้นเอง 2. คำขึ้นต้นของกฎหมายนั้น ไม่ว่าจะเป็นพระราชปรารภ หรือ คำปรารภก็ตาม

  33. 3. หมายเหตุท้ายกฎหมาย 4. รายงานการประชุมในการยกร่างหรือพิจารณากฎหมายนั้น

  34. กฎหมายอาญา • ต้องตีความโดยเคร่งครัด ตัวบทกฎหมายบัญญัติไว้เช่นใดก็ต้องตีความเช่นนั้น เช่น ความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น ตามมาตรา 217 ประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติว่า • “ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น ต้องระวางโทษ.....” มิได้บัญญัติรวมถึงทรัพย์ที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ดังเช่นมาตรา 358 ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ฉะนั้นแม้เผาทรัพย์ที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ก็ไม่ผิดตามมาตรา 217

  35. ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358 บัญญัติว่า • “ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นั้นกระทำผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ต้องระวางโทษ....”

  36. ตีความให้ลงโทษผู้กระทำไม่ได้ เช่น ความผิดฐานลักทรัพย์ ตามมาตรา 334 ทรัพย์ที่จะลักได้ต้องเป็นวัตถุมีรูปร่าง ฉะนั้นหากเป็นการปรับจูนโทรศัพท์ของผู้อื่นไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์เป็นเพียงการแย่งใช้คลื่นสัญญาณ • แต่เคยมีฎีกาว่า กระแสไฟฟ้าเป็นทรัพย์ที่ลักได้ เพราะน่าจะเป็นทรัพย์ที่จับต้องได้เพราะมาตามสายไฟ

  37. ช่องว่างของกฎหมาย • ช่องว่างของกฎหมาย (gap of law) หมายถึงกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำไปปรับใช้แก่ข้อเท็จจริงได้

  38. เหตุที่เกิดช่องว่างของกฎหมายเหตุที่เกิดช่องว่างของกฎหมาย • 1.ผู้บัญญัติกฎหมายคิดไปไม่ถึงว่าจะมีช่องว่างในกฎหมาย • 2.ผู้บัญญัติกฎหมายคิดถึงช่องว่างแห่งกฎหมายนั้น แต่ยังเห็นว่าไม่ควรบัญญัติให้ตายตัว เพราะปัญหาเรื่องที่เป็นช่องว่างนั้นยังไม่เป็นที่ยุติ ควรให้มีการพัฒนาต่อไปจนได้ข้อยุติ กรณีนี้เป็นการตั้งใจให้มีช่องว่างของกฎหมาย

  39. การอุดช่องว่างของกฎหมายการอุดช่องว่างของกฎหมาย • ในคดีอาญา เมื่อไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติความผิดไว้ ก็จะลงโทษไม่ได้ หากเกิดมีช่องว่างขึ้น ก็จะต้องถือว่าเป็นการที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดไว้ และก็จะนำจารีตประเพณีมาอุดช่องว่างไม่ได้

  40. ในคดีแพ่งนั้น ย่อมจะมีช่องว่างของกฎหมายขึ้นมาได้ และต้องมีวิธีการอุดช่องว่างนี้ เพราะในคดีแพ่งศาลจะปฏิเสธไม่ตัดสินคดีโดยอ้างว่าไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีไม่ได้ ดังนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จึงได้กำหนดวิธีการและขั้นตอนในการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้ในมาตรา 4 วรรคสอง

  41. มาตรา 4 วรรคสอง • “เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป”

  42. 1.จารีตประเพณี ที่จะนำมาใช้ในการอุดช่องว่างได้ มีลักษณะดังต่อไปนี้ • 1) ต้องใช้บังคับมาเป็นเวลานาน • 2) ต้องเป็นที่ยอมรับและถือตามของมหาชนทั่วไป • 3) ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย • 4) ต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีงามของประชาชน

  43. ตัวอย่างการใช้จารีตประเพณีในการอุดช่องว่าง เช่น การซื้อขายดอกลำไย กรรมสิทธิ์ในลำไยอยู่ที่ใคร เพราะขณะซื้อ ซื้อในขณะลำไยเป็นดอก แต่จะเก็บเกี่ยวผลเมื่อลำไยโตเต็มที่ ในกรณีนี้ไม่อาจปรับเข้าตามตัวบทกฎหมายซื้อขายได้ จึงเป็นช่องว่างของกฎหมาย และจำเป็นต้องอุดช่องว่างนี้ โดยนำจารีตประเพณีการซื้อขายลำไยทางภาคเหนือมาใช้ เมื่อลำไยออกดอกจะมีผู้ซื้อมาดูและตกลงซื้อขายกัน ตามปกติชำระเงินกันครึ่งหนึ่งก่อน อีกครึ่งหนึ่งชำระเมื่อเก็บผลลำไยแล้ว ถ้าต่อมาลำไยไม่มีผลจะเพราะเหตุใดก็ดี ฝ่ายผู้ขายก็ไม่ต้องคืนเงินที่ได้รับไว้แล้ว

  44. 2.บทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่ง (analogy) • การให้เหตุผลโดยอ้างความคล้ายคลึงกัน โดยเป็นการเทียบเคียงข้อเท็จจริงที่เป็นองค์ประกอบที่บัญญัติไว้ในกฎหมายกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดี ถ้าใกล้กันถึงขนาดก็เป็นบทกฎหมายที่นำมาอุดช่องว่างได้

  45. ตัวอย่างการใช้บทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่ง เช่น กรณีการสร้างโรงเรือนรุกล้ำไปในที่ดินของคนอื่น ตามกฎหมายคนที่รุกล้ำ(โดยสุจริต)ต้องเสียเงินค่าที่รุกล้ำแก่เจ้าของที่ดิน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1312 วรรคแรก บัญญัติว่า “บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดิน......”

  46. มีปัญหาว่า ถ้าเป็นกรณีที่มีการสร้างบ้านบนที่ดินแล้วต่อมามีการแบ่งที่ดินแปลงนั้นออกเป็นสองแปลง แล้วมีการผิดพลาดในการรังวัด ทำให้บ้านส่วนใหญ่อยู่บนที่ดินแปลงหนึ่ง เช่นนี้จะปรับเข้ากับบทกฎหมายใด เพราะไม่ใช่การสร้างโรงเรือนรุกล้ำตามมาตรา 1312 วรรคแรก และก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติถึงเรื่องนี้ไว้ นอกจากนี้ก็ไม่มีจารีตประเพณีในเรื่องนี้ด้วย จึงต้องพิจารณานำบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่ง ซึ่งในที่นี้ได้แก่มาตรา 1312 วรรคแรกนั่นเอง

  47. 3.หลักกฎหมายทั่วไป • เมื่อกรณีใดไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ทั้งจารีตประเพณีก็ไม่มี จะเทียบเคียงหาบทกฎหมายใกล้เคียงก็ไม่ได้ ก็จำเป็นต้องอุดช่องว่างของกฎหมายโดยอาศัยหลักกฎหมายทั่วไป เช่น เรื่องประกันภัยทางทะเล ประเทศไทยเคยไม่มีกฎหมายทะเลเป็นลายลักษณ์อักษร จารีตประเพณีก็ไม่ปรากฏ จึงต้องวินิจฉัยคดีเรื่องประกันภัยทางทะเลตามหลักกฎหมายทั่วไป โดยศาลฎีกาเห็นว่าควรถือกฎหมายว่าด้วยการประกันภัยทางทะเลของประเทศอังกฤษเป็นกฎหมายทั่วไป

  48. บทที่ 7ประเภทของกฎหมาย • กฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน • กฎหมายเอกชน คือ กฎหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนต่อกัน ที่ต่างฝ่ายต่างก็เท่าเทียมกัน • กฎหมายมหาชน คือ กฎหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐหรือหน่วยงานของรัฐกับเอกชน หรือหน่วยงานของรัฐด้วยกัน ในฐานะที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐเป็น “ผู้ปกครอง”

  49. เกณฑ์ในการแบ่งแยกกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนเกณฑ์ในการแบ่งแยกกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน • 1.เกณฑ์องค์กร กฎหมายเอกชน - เอกชนกับเอกชน • กฎหมายมหาชน - เอกชนกับรัฐ หรือรัฐกับรัฐ • 2.เกณฑ์วัตถุประสงค์ กฎหมายเอกชน - ประโยชน์สุดท้ายคือกำไร • กฎหมายมหาชน - ประโยชน์สาธารณะ • 3.เกณฑ์การก่อนิติสัมพันธ์ กฎหมายเอกชน - เสมอภาค • กฎหมายมหาชน - รัฐอยู่ในฐานะที่เหนือกว่า • 4.เกณฑ์เนื้อหา กฎหมายเอกชน - ตกลงยกเว้นกฎหมายได้ • กฎหมายมหาชน - ตกลงยกเว้นกฎหมายไม่ได้

  50. ข้อจำกัดของการแบ่งแยกกฎหมายเอกชนและมหาชนข้อจำกัดของการแบ่งแยกกฎหมายเอกชนและมหาชน • ในแง่ของรัฐ • - รัฐเลือกที่จะไม่ใช้กฎหมายมหาชน • - รัฐทำกิจกรรมที่มีลักษณะเหมือนกิจกรรมของเอกชน • ในแง่ของเอกชน • - เอกชนเข้ามาทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์สาธารณะ • - รัฐเข้ามาแทรกแซงในการทำนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชน

More Related