E N D
โรคอ้วน ผศ.ดร.สถาพร ถาวรอธิวาสน์
โรคอ้วนคืออะไร ร่างกายของเราจะมีไขมันไว้เพื่อสำรองเป็นอาหาร ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายเป็นเบาะกันกระแทกหากมีมากเกินไปคือโรคอ้วน ปกติผู้หญิงจะมีปริมาณไขมันประมาณ 25-30% ส่วนผู้ชายจะมี 18-23 %ถ้าหากผู้หญิงมีมากกว่า 30% ชายมีมากกว่า 25%จะถือว่าโรคอ้วน โรคอ้วนหมายถึงมีปริมาณไขมันมากกว่าปกติ โรคอ้วนมิได้หมายถึงการมีน้ำหนักมากอย่างเดียว
โรคอ้วนที่มีผลร้ายต่อสุขภาพมีอยู่ 3 ประเภทได้แก่ • อ้วนทั้งตัว ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีไขมันทั้งร่างกายมากกว่าปกติโดยไขมันที่เพิ่มมิได้จำกัดอยู่ที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง • โรคอ้วนลงพุง[ abdominal obesity] ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีไขมันในอวัยวะภายในช่องท้องมากกว่าปกติ และอาจจะมีไขมันใต้ผิวหนังหน้าท้องเพิ่มขึ้นด้วย • โรคอ้วนลงพุ่งร่วมกับอ้วนทั้งตัว มีไขมันมากทั้งตัวและอวัยวะภายในช่องท้อง
การวัดปริมาณไขมันในร่างกายการวัดปริมาณไขมันในร่างกาย มีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์หลายชนิดที่สามารถวัดและคำนวณปริมาณไขมันในร่างกายแต่ไม่สะดวกในการใช้จึงได้มีการคิดวิธีวัดง่ายที่ได้ผลคือใช้ calipers วัดความหนาของไขมันชั้นใต้ผิวหนัง อาจจะวัดที่ท้องแขน เป็นต้น Bioelectric impedance analysis โดยการใช้ไฟฟ้าผ่านเข้าไปในร่างกายแล้วคำนวณออกมา - การใช้ตารางหนักและส่วนสูง - การคำนวณดัชนีมวลกาย - การวัดเส้นรอบเอว
การประเมินความอ้วน การจะประเมินว่าอ้วนหรือไม่เรามิได้ประเมินจากการดูด้วยสายตาอย่างเดียวแต่จะประเมินจากดัชนีมวลกายซึ่งสัมพันธ์กับปริมาณไขมันในร่างกาย มีวิธีการประเมินง่ายๆแต่ได้ผลดีได้แก่ • ดัชนีมวลกาย BMI [body mass index] • วัดเส้นรอบเอว Waist circumference
ดัชนีมวลกาย BMI [body mass index] การวัดปริมาณไขมันในร่างกายเป็นเรื่องที่ต้องใช้เครื่องมือในการวัด จึงใช้ดัชนีมวลกายมาวัด ค่าที่ได้มีความแม่นยำพอสมควรและสัมพันธ์กับปริมาณไขมันในร่างกาย วิธีวัดก็สะดวก
BMI สามารถวัดได้ง่ายโดยวัดส่วนสูงและน้ำหนักและคำนวณตามตาราง หรืออาจจะหาดัชนีมวลกายได้จากตารางโดยใช้น้ำหนักและส่วนสูงค่านี้จะมีความสัมพันธ์กับปริมาณไขมันในร่างกาย หรือจากการคำนวณ ข้อระวัง BMI ใช้ประเมินปริมาณไขมันในผู้ที่มีกล้ามมากๆไม่ได้ และประเมินในผู้ที่กล้ามเนื้อลีบจากสูงอายุไม่ได้ จากค่าดัชนีมวลกาย ท่านสามารถใช้ตารางข้างล่างประเมินความรุนแรงหรือระดับของความอ้วน
วัดเส้นรอบเอว Waist circumference วิธีการวัดเส้นรอบเอว การวัดต้องวัดท่ายืน เท้าแยกจากกัน 25-30 ซม.วัดรอบเอวระดับกึ่งกลางกระดูกสะโพกส่วนบนสุดและขอบล่างของกระดูกซี่โครงให้ขนานกับพื้นผู้วัดต้องนั่งข้างๆ และต้องวัดขณะหายใจออกเท่านั้น ส่วนสะโพกให้วัดบริเวณส่วนที่ก้นยื่นออกมามากที่สุด
สาเหตุจากโรคอ้วน คนเรารับประทานอาหารเข้าไปไม่ว่าจะเป็นประเภทแป้งหรือโปรตีนหากพลังงานที่ได้รับเกินความต้องการ ร่างกายก็จะสะสมอาหารส่วนเกินเหล่านั้นในรูปไขมัน สะสมมากขึ้นจนกลายเป็นโรคอ้วน สาเหตุจริงๆยังไม่ทราบแน่ชัด โรคอ้วนมักจะมีสาเหตุต่างๆดังนี้ - การรับประทานอาหาร หากรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูงเป็นประจำจะให้น้ำหนักเกิน - โรคต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมธัยรอยด์ทำงานน้อยจะมีน้ำหนักเกินเนื่องจากร่างกายเผาผลาญอาหารน้อยลง โรค cushing ร่างกายสร้างฮอร์โมน cortisol มากทำให้ร่างกายมีการสะสมไขมัน ฮอร์โมนนี้อาจจะมาจากร่างกายสร้างเอง หรือจากลูกกลอน ยาแก้หอบ ยาชุด หรือร่างกายสร้างขึ้นเนื่องจากเนื้องอกต่อมหมวกไต
- จากยา ยาบางชนิดทำให้ความอยากอาหารเพิ่ม เช่นยาคุมกำเนิด ยาแก้โรคซึมเศร้า tricyclic antidepressant,phenothiazine ยาลดความดัน beta-block - กรรมพันธุ์ จะพบว่าบางครอบครัวจะอ้วนทั้งหมดซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากพันธุกรรม แต่อีกส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากวัฒนธรรมการรับประทานอาหารและความเป็นอยู่ - วัฒนธรรมการดำรงชีวิตและอาหารซึ่งเห็นได้ว่าบางชาติจะมีน้ำหนักเกินเนื่องจากอาหารของชาตินั้นนิยมอาหารมันๆ - ความผิดปกติทางจิตใจทำให้รับประทาน อาหารมาก เช่นบางคนเศร้าแล้วรับประทานอาหารเก่ง
- การดำเนินชีวิตอย่างสบาย มีเครื่องอำนวยความสะดวดมากมาย และขาดการออกกำลังกาย มีรถยนต์ มีเครื่องทุ่นแรง มีทีวีรายการดีๆให้ดู มีสื่อโฆษณาถึงน้ำหวาน น้ำอัดลม เหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงโรคอ้วนตั้งแต่ในวัยเด็ก - การดื่มสุรา - การสูบบุหรี่
โรคอ้วนในวัยรุ่น ชีวิตที่มีความสบาย ขาดการออกกำลังกาย รับประทานอาหารไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดประเภท และไม่จำกัดปริมาณเหล่านี้ทำให้เกิดโรคอ้วน เมื่ออ้วนก็ทำให้ออกกำลังได้ไม่เต็มที่ น้ำหนักของผู้ชายจะเพิ่มจนคงที่เมื่ออายุประมาณ 50 ปี ส่วนผู้หญิงน้ำหนักจะเพิ่มจนอายุประมาณ 70 ปี เซลล์ไขมันในร่างกายจะมีช่วงที่เจริญเติบโตอยู่สองช่วงคือวัยเด็กและวัยรุ่น กรรมพันธุ์เป็นตัวกำหนอให้แต่ละคนมีเซลล์ไขมันไม่เท่ากัน คนอ้วนจะมีเซลล์ไขมันมาก การอ้วนในเด็กจะมีปริมาณเซลล์ไขมันมากทำให้ลดน้ำหนักยาก สานโรคอ้วนในผู้ใหญ่เกิดจากเซลล์ไขมันมีขนาดใหญ่ โรคอ้วนในเด็ก
ผลเสียจากโรคอ้วน มีการศึกษาพบว่าดัชนีมวลกายที่เหมาะอยู่ระหว่าง 21-25 เนื่องจากอัตราการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจต่ำ และเมื่ออ้วนมากขึ้นก็จะเกิดโรคมาก
โรคเรื้อรังที่สัมพันธ์กับโรคอ้วน - โรคหัวใจขาดเลือด โรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงอิสระที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ และยังเป็นสาเหตุของปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังพบว่าอัตราการตายจากโรคหัวใจเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนอ้วน ยิ่งอ้วนมากยิ่งมีโอกาสเป็นโรคหัวใจเพิ่ม พบว่าผู้ที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 30 กก/ตารางเมตร จะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูงดัชนีมวลกาย 25-29 กก/ตารางเมตรก็จะเกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
- โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วนจะมีโรคความดันโลหิตสูงกว่าคนปกติ 2.9 เท่า ความเสี่ยงของความดันโลหิตสูงจะเพิ่มขึ้นตามระยะที่เป็นโรคอ้วน เมื่อลดน้ำหนักระดับความดันจะลดลงด้วยพบว่าผู้ที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 25 กก/ตารางเมตร จะเป็นความดันโลหิตสูงเป็น 2 เท่าของผู้ที่มีดัชนีมวลกาย 22 - ไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะไขมัน triglyceride ,LDL สูงส่วนไขมันที่ดีได้แก่ HDL จะต่ำ - โรคหลอดเลือดสมอง พบว่าหากอ้วนลงพุงจะมีอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองมากขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 30
- โรคมะเร็ง บางชนิด ได้แก่มะเร็งที่พึ่งฮอร์โมนในผู้หญิงได้แก่ โรคมะเร็งมดลูก โรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งเต้านม ส่วนในผู้ชายได้แก่มะเร็งลูกหมาก นอกจากนั้นยังพบว่ามะเร็งทางเดินอาหารเพิ่มขึ้นเช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งหลอดอาหาร และโรคมะเร็งถุงน้ำดี - โรคเบาหวาน ความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่สองเพิ่มขึ้น 40 เท่าในคนอ้วน เมื่อดัชนีมวลกายลดลงความเสี่ยงจะลดลงด้วย โดยเฉพาะผู้ที่อ้วนตั้งแต่เด็กเมื่อโตขึ้นจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น - โรคถุงน้ำดี คนอ้วนจะมีความเสี่ยงต่อนิ่ว 3-4 เท่าและความเสี่ยงจะสูงขึ้นเมื่ออ้วนลงพุง
- โรคไขมันพอกตับ ไขมันพอกตับหรือที่เรียกว่า Nonalcoholic fatty liver disease (NAFLD) หมายถึงภาวะที่มีไขมันโดยเฉพาะ triglyceride อยู่ในเซลล์ตับโดยที่คนนั้นไม่ได้ดื่มสุรา(ปกติคนที่ดื่มสุรามานานจะมีการพอกของเซลล์ไขมันในตับ) เซลล์ไขมันนี้จะไม่ก่อนให้เกิดการเสียหายหรืออักเสบกับตับในระยะแรก แต่ก็มีผู้ป่วยบางส่วนที่ไขมันทำให้เกิดการอักเสบของตับเกิดกลุ่มอาการที่เรียกว่า nonalcoholic steatohepatitis (NASH)ในที่สุดก็จะเป็นตับแข็ง Cirrhosis แต่นักวิทยาศาสตร์ยังอธิบายไม่ได้ว่าทำไมถึงเกิดการอักเสบของตับ พบว่าร้อยละ5-8ของผู้ป่วยไขมันพอกตับจะกลายเป็นตับอักเสบและตับแข็ง
การเลือกวิธีการรักษา เมื่อท่านน้ำหนักเกินโดยมีค่า BMI มากกว่า 25 กก/ตารางเมตร หรือมีเส้นรอบเอวมากว่า 40 นิ้ว,35 นิ้วสำหรับชายหญิงตามลำดับ และมีโรคหรือปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่นร่วม จำเป็นต้องรักษา ตารางข้างล่างแสดงค่า BMIและวิธีการรักษา การเลือกวิธีการรักษาขึ้นกับระดับความอ้วน และโรคแทรกซ้อน หมายเหตุ สัญลักษณ์ของตารางด้านล่าง +หมายถึงให้ปฏิบัติ- หมายถึงยังไม่ต้องใช้ DM หมายถึงโรคเบาหวาน HT หมายถึงความดันโลหิตสูง CHD หมายถึงโรคหลอดเลือดหัวใจ HL หมายถึงไขมันในเลือดสูง
แนวทางการรักษาโรคอ้วนโดยอาศัย BMI และปัจจัยเสี่ยง
เป้าหมายในการควบคุมน้ำหนัก การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติอาจจะเป็นไปไม่ได้สำหรับผู้ป่วยบางท่านที่อ้วนมาก แต่ท่านไม่ต้องย่อท้อเพราะการที่จะมีสุขภาพที่ดีจำเป็นต้องน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ เพียงแต่ท่านลดน้ำหนักได้ร้อยละ 10 ผลดีต่อสุขภาพก็จะเกิดขึ้นดังนั้นจึงกำหนดเป้าหมายเบื้องต้นสำหรับการควบคุมน้ำหนักที่ดีดังนี้
ขั้นตอนในการควบคุมน้ำหนักขั้นตอนในการควบคุมน้ำหนัก 1)ลดน้ำหนัก ตั้งเป้าหมายน้ำหนักที่จะลดในเบื้องต้น โดยทั่วไปแนะนำให้ลดน้ำหนักลงจากเดิม 10 % เป้าหมายนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะทำได้ ความเร็วของการลด อัตราที่เหมาะสมคือลดน้ำหนักสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัมโดยการลดพลังงาน 300-500 กิโลแคลอรี สำหรับผู้ที่มีดัชนีมวลกาย 27-35 กก.ตร.ม.สำหรับผู้ที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 35 ให้ลดพลังงาน 500-1000 กิโลแคลอรี/วันจึงจะสามารถทำให้น้ำหนักลดลง 10%ใน 6 เดือน ให้ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 ครั้ง ครั้งละ 30 นาทีโดยใช้พลังงานในการออกกำลังกายประมาณ 300-500 กิโลแคลอรี
2)การรักษาน้ำหนักให้คงที่ 2)การรักษาน้ำหนักให้คงที่ เมื่อผู้ป่วยที่อ้วนสามารถคุมน้ำหนักได้ดีคือน้ำหนักเพิ่มน้อยกว่า 3 กิโลกรัม เส้นรอบเอวน้อยกว่าเดิม 4 ซม.เป็นเวลา 2 ปีวิธีการคุมน้ำหนักให้คงที่ก็อาศัยการคุมอาหาร ออกกำลังกาย การเปลี่ยนพฤติกรรม ถ้าหากต้องการลดน้ำหนักก็สามารถทำได้ 3)การป้องกันนำหนักเพิ่ม ผู้ที่อ้วนบางคนไม่สามารถลดน้ำหนักได้จุดประสงค์คือคุมน้ำหนักอย่าให้เพิ่ม เมื่อป้องกันน้ำหนักเพิ่มได้แล้วก็สามารถลดน้ำหนักต่อไป
การป้องกันโรคอ้วน 1. พยายามรับประทานเฉพาะช่วงในมื้ออาหาร โดยเฉพาะที่โต๊ะอาหารและลุกจากโต๊ะทันทีที่อิ่ม 2. ซื้ออาหารเท่าที่จำเป็นเท่านั้น อย่าซื้ออาหารเวลาหิว 3. อย่าเตรียมอาหารมากเกินจำเป็น หลีกเลี่ยงอาหารทอด , ผัด 4. อย่าวางอาหารโปรดหรือของว่างไว้รอบ ๆ ตัว (ยกเว้น ผัก, ผลไม้ที่ไม่หวาน) 5. อย่าอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งทั้งมื้อ ถ้าจำเป็นควรลดขนาดของแต่ละมื้อแทน 6. ดื่มน้ำมาก ๆ ทั้งในมื้ออาหารและระหว่างมื้อ (อย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตร) 7. ตั้งสติ 5 นาที ก่อนรับประทาน และพยายามเคี้ยวอาหารแต่ละคำช้า ๆ
8. อย่าทำกิจกรรมอื่น ๆระหว่างรับประทาน เช่น อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ เพราะจะทำให้รับประทานมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว 9. พยายามวิเคราะห์ว่าอยากทานอาหารมากที่สุดในช่วงเวลาใดและทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่น่ารื่นรมย์แทน เช่น เดินเล่น คุยกับเพื่อน 10. ควรคำนึงถึงว่าสามารถรับประทานอาหารตามที่แพทย์แนะนำมากน้อยเพียงใดเป็นเครื่องวัดความคืบหน้าในการลดน้ำหนักแทนการชั่งน้ำหนัก 11. ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที