1 / 329

กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 3 อุทธรณ์และฎีกา

กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 3 อุทธรณ์และฎีกา. อาจารย์ทวีศักดิ์ เอื้ออมรวนิช. เค้าโครงการบรรยาย. ความเบื้องต้น อุทธรณ์ ฎีกา. ความเบื้องต้น. ลำดับชั้นของศาลยุติธรรม แบ่งออกเป็น 3 ชั้น ได้แก่ ศาลชั้นต้น ศาลแขวง ศาลจังหวัด ศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี. ความเบื้องต้น.

duncan-shaw
Télécharger la présentation

กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 3 อุทธรณ์และฎีกา

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 3 อุทธรณ์และฎีกา อาจารย์ทวีศักดิ์ เอื้ออมรวนิช

  2. เค้าโครงการบรรยาย • ความเบื้องต้น • อุทธรณ์ • ฎีกา

  3. ความเบื้องต้น • ลำดับชั้นของศาลยุติธรรม แบ่งออกเป็น 3 ชั้น ได้แก่ • ศาลชั้นต้น • ศาลแขวง • ศาลจังหวัด • ศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี

  4. ความเบื้องต้น • ลำดับชั้นของศาลยุติธรรม แบ่งออกเป็น 3 ชั้น ได้แก่ • ศาลอุทธรณ์ • ศาลอุทธรณ์ • ศาลอุทธรณ์ภาค (มีทั้งสิ้น 9 ภาค) • ศาลฎีกา

  5. ความเบื้องต้น • ศาลเหล่านี้เป็นสถานที่ที่ใช้ในการพิจารณาพิพากษาคดี • โดยปกติแล้วการอุทธรณ์มักจะให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา • อย่างไรก็ตามในบางกรณีการอุทธรณ์อาจอยู่ในอำนาจการพิจารณา ของศาลฎีกา เช่น การอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตามมาตรา 223 ทวิ เป็นต้น • ส่วนการฎีกาต้องให้ศาลฎีกาพิจารณาเสมอ

  6. ความเบื้องต้น • ศาลสูง อาจหมายถึง ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา ทั้งนี้ต้องพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป เช่น ในกรณีนี้หมายถึง ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา เป็นต้น • ศาลล่าง อาจหมายถึง ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ ทั้งนี้ต้องพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป เช่น ในกรณีนี้หมายถึง ศาลชั้นต้น เป็นต้น

  7. ความเบื้องต้น • ตัวอย่างเช่น “คำพิพากษาของศาลล่างอาจถูกเปลี่ยนแปลงไปได้โดยคำพิพากษาของศาลสูง” • ศาลล่าง หมายถึง ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เป็นต้น • ศาลสูง หมายถึง ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา เป็นต้น

  8. ความเบื้องต้น • อุทธรณ์ เป็นการกระทำที่ฝ่ายที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นมาร้องขอให้ศาลสูงทบทวนดูว่าการกระทำของศาลชั้นต้นนั้นถูกต้องหรือไม่ หากไม่ถูกต้องก็ขอให้ศาลสูงมีคำสั่งใหม่ตามที่เห็นสมควร • การอุทธรณ์เป็นการขอให้ทบทวนคำวินิจฉัยของศาลล่างเป็นครั้งแรก

  9. ความเบื้องต้น • ฎีกา เป็นการกระทำที่ฝ่ายที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์มาร้องขอให้ศาลฎีกาทบทวนดูว่าการกระทำของศาลอุทธรณ์นั้นถูกต้องหรือไม่ หากไม่ถูกต้องก็ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งใหม่ตามที่เห็นสมควร • การฎีกาเป็นการขอให้ทบทวนคำวินิจฉัยของศาลล่างเป็นครั้งที่สองซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย

  10. หลักทั่วไปว่าด้วยกระบวนพิจารณาในศาลสูงหลักทั่วไปว่าด้วยกระบวนพิจารณาในศาลสูง • โจทก์ - ผู้อุทธรณ์ • จำเลย - จำเลยอุทธรณ์ • คำฟ้อง - คำฟ้องอุทธรณ์ • คำให้การ - คำแก้อุทธรณ์

  11. หลักทั่วไปว่าด้วยกระบวนพิจารณาในศาลสูงหลักทั่วไปว่าด้วยกระบวนพิจารณาในศาลสูง • การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลสูง (ศาลอุทธรณ์และ/หรือศาลฎีกา) จะเริ่มต้นจากการอุทธรณ์และ/หรือการฎีกา ซึ่งเป็นการร้องขอความเป็นธรรมอีกครั้ง โดยผู้อุทธรณ์และ/หรือฎีกาต้องอ้างเหตุว่าที่ศาลล่าง (ศาลชั้นต้นและ/หรือศาลอุทธรณ์) พิพากษาหรือมีคำสั่งมานั้นไม่ชอบด้วยหลักกฎหมายอย่างไร ที่ถูกต้องควรเป็นเช่นไร

  12. ลักษณะพิเศษของกระบวนพิจารณาในศาลสูงลักษณะพิเศษของกระบวนพิจารณาในศาลสูง 1. การพิจารณาพิพากษาคดีในศาลสูง ถือถ้อยคำสำนวนตามที่ศาลชั้นต้นสืบมาเป็นหลัก • ข้อยกเว้น : > ศาลสูงอาจสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานเพิ่มเติมหรือสืบพยานใหม่เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่สมบูรณ์เพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้ > คู่ความจะขอนำพยานมาสืบเพิ่มเติมได้ หากเข้าข้อยกเว้น

  13. ลักษณะพิเศษของกระบวนพิจารณาในศาลสูงลักษณะพิเศษของกระบวนพิจารณาในศาลสูง 2. การไม่ยื่นคำแก้อุทธรณ์หรือคำแก้ฎีกาไม่ถือว่าขาดนัดยื่นคำให้การ และไม่มีการขาดนัดพิจารณา • ไม่ถือว่าขาดนัดยื่นคำให้การ  การอุทธรณ์ฎีกาเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาของศาลล่าง มิได้โต้แย้งคู่ความฝ่ายตรงข้าม • ไม่มีการขาดนัดพิจารณา  การพิจารณาคดีในศาลสูงนั้นไม่ต้องนั่งพิจารณาคดีเหมือนศาลชั้นต้น

  14. ลักษณะพิเศษของกระบวนพิจารณาในศาลสูงลักษณะพิเศษของกระบวนพิจารณาในศาลสูง 3. ข้อที่จะยกขึ้นมาว่ากล่าวกันในศาลสูงจะต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นมาว่ากล่าวกันแล้วโดยชอบในศาลล่าง • มาตรา 225 ในชั้นอุทธรณ์ • มาตรา 249 ในชั้นฎีกา

  15. ลักษณะพิเศษของกระบวนพิจารณาในศาลสูงลักษณะพิเศษของกระบวนพิจารณาในศาลสูง 4. ศาลสูงมีอำนาจพิพากษาได้ 5 ประการ (มาตรา 242 – มาตรา 243) • ยก • ยืน • กลับ • แก้ • ย้อนสำนวน

  16. การอุทธรณ์และฎีกา 1. การอุทธรณ์หรือฎีกาโดยทำเป็นคำฟ้อง • ต้องการคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลล่างที่เป็นการชี้ขาดตัดสินคดี โดยศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดโดยทำเป็นคำพิพากษา • ศาลอุทธรณ์จะอยู่ในฐานะเป็นผู้พิจารณาคดีนั้นใหม่ตามประเด็นที่ปรากฏในคำฟ้องอุทธรณ์และคำแก้อุทธรณ์ด้วยวิธีการตรวจสำนวนจากพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบไว้ในศาลชั้นต้น

  17. การอุทธรณ์และฎีกา 1. การอุทธรณ์หรือฎีกาโดยทำเป็นคำฟ้อง • ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์และประสงค์จะให้มีการเปลี่ยนแปลงผลแห่งคำพิพากษา ย่อมมีสิทธิฎีกาต่อไปเพื่อให้ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นได้อีกครั้งหนึ่ง

  18. การอุทธรณ์และฎีกา 2. การอุทธรณ์หรือฎีกาโดยทำเป็นคำร้อง • เป็นกรณีที่ต้องการคัดค้านคำสั่งตามคำร้องคำขอที่ยื่นต่อศาลล่างหรือกรณีที่ต้องการคัดค้านคำสั่งศาลล่างสั่งเอง อันมิใช่การชี้ขาดตัดสินคดี ไม่ได้ทำให้คดีเสร็จสิ้นไปจากศาล (คำสั่งระหว่างพิจารณา) • กรณีอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์หรือฎีกา (มาตรา 234 และมาตรา 247)

  19. อุทธรณ์ 1. หลักทั่วไป 2. ผู้มีสิทธิอุทธรณ์ 3. วิธีการยื่นอุทธรณ์ 4. การตรวจอุทธรณ์ 5. ข้อจำกัดสิทธิอุทธรณ์ 6. การห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

  20. อุทธรณ์ 7. ปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย 8. คดีมีทุนทรัพย์และคดีไม่มีทุนทรัพย์ 9. วิธีการคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาท 10. คดีที่ยกเว้นให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ 11. การห้ามอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย 12. การห้ามอุทธรณ์ในคำสั่งระหว่างพิจารณา

  21. อุทธรณ์ 13. การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ 14. การทุเลาการบังคับคดี 15. กระบวนพิจารณาในศาลอุทธรณ์ 16. การวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีของศาลอุทธรณ์ 17. ผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

  22. หลักทั่วไป • การอุทธรณ์เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้น หากไม่มีการอุทธรณ์จะมีคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์มิได้ • การอุทธรณ์เป็นสิทธิ หากไม่มีกฎหมายห้ามย่อมสามารถอุทธรณ์ได้เสมอ • การจำกัดสิทธิอุทธรณ์เป็นข้อยกเว้นต้องตีความโดยเคร่งครัด • การขอบังคับต้องระบุในคำขอท้ายอุทธรณ์ให้ถูกต้อง โดยจะขอให้บังคับคู่ความฝ่ายเดียวกันไม่ได้

  23. หลักทั่วไป • มาตรา 223 เป็นหลักทั่วไปในการอุทธรณ์ ซึ่งจะใช้บังคับได้หลังจากที่ไม่เข้าข้อยกเว้นตามกฎหมายพิเศษ • กรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา • กรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง

  24. กรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษากรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา • เป็นเรื่องของคดีมีข้อพิพาท ซึ่งศาลอาจพิพากษาได้หลายรูปแบบ ได้แก่ • พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี บังคับให้ตามคำฟ้องโจทก์ • พิพากษาตามที่จำเลยยอมรับผิดตามมาตรา 136 – 137 • พิพากษาตามยอมตามมาตรา 138 • พิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ตามมาตรา 218 • พิพากษาให้จำเลยชนะคดีโดยการพิพากษายกฟ้อง

  25. กรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง • คำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี • คำสั่งอื่น ๆ ที่มิได้เป็นการชี้ขาดตัดสินคดี • คำสั่งระหว่างพิจารณา • คำสั่งอื่น ๆ เช่น คำสั่งจำหน่ายคดี

  26. การอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาการอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา • ปกติแล้วการอุทธรณ์จะต้องอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ตามลำดับชั้นศาล จะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาไม่ได้แต่ในบางกรณีเพื่อให้คดีเสร็จสิ้นไปได้อย่างรวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่ายของคู่ความ กฎหมายจึงเปิดโอกาสให้มีการอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาได้ เช่น คดีในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ หากจะอุทธรณ์ต้องทำการพิจารณาพิพากษาที่ศาลฎีกา เป็นต้น

  27. หลักเกณฑ์การอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาหลักเกณฑ์การอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา มาตรา 223 ทวิ 1. อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย 2. ยื่นคำร้องพร้อมกับอุทธรณ์ 3. ไม่มีการอุทธรณ์ตามปกติ 4. จำเลยอุทธรณ์ (ผู้ที่มิได้อุทธรณ์) ไม่คัดค้าน 5. ศาลสั่งอนุญาต

  28. อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย • การอุทธรณ์ข้ามลำดับชั้นศาลจะทำได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย หากมีทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงจะต้องอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ตามปกติ • หากปัญหาข้อกฎหมายต้องห้ามอุทธรณ์ก็จะอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาไม่ได้ เช่น ต้องห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา 225 หรือ 226 เป็นต้น

  29. อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย • คำพิพากษาฎีกาที่ 1007/2537 • หากเป็นการอุทธรณ์ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย แต่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้ซึ่งเป็นการไม่ชอบ แต่ถ้าคดีนั้นต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งเท่ากับไม่มีการอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายไปได้เลย ไม่ต้องส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อน

  30. อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย • คำสั่งคำร้องฎีกาที่ 1261/2540 • หากศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามตามมาตรา 224 จึงสั่งไม่รับอุทธรณ์และไม่สั่งคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์ตรงต่อศาลฎีกา เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ตามมาตรา 234 ศาลชั้นต้นต้องส่งสำนวนไปให้ศาลฎีกาสั่งตามมาตรา 223 ทวิ วรรค 2

  31. อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย • คำสั่งคำร้องฎีกาที่ 1261/2540 • ถ้าศาลฎีกาเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมาย ต้องมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเกี่ยวกับคำฟ้องอุทธรณ์ใหม่และดำเนินการเกี่ยวกับคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์ตรงต่อศาลฎีกาตามมาตรา 223 ทวิ วรรคแรก ต่อไป

  32. การยื่นคำร้อง • ต้องยื่นคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกามาพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์ หากไปยื่นคำฟ้องอุทธรณ์จนศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ไว้แล้วจะไปยื่นคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาอีกไม่ได้ • ผู้อุทธรณ์ทุกคนต้องยื่นคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา จะมีคู่ความบางคนไปยื่นอุทธรณ์ตามปกติไม่ได้

  33. การยื่นคำร้อง • เมื่อศาลชั้นต้นได้รับคำร้องดังกล่าว ก็จะดำเนินการตรวจอุทธรณ์ก่อนว่าเป็นอุทธรณ์อันชอบที่จะรับไว้ได้หรือไม่ • หากศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์แล้วจึงจะส่งสำเนาคำร้องไปพร้อมกับสำเนาอุทธรณ์เพื่อให้จำเลยอุทธรณ์มีโอกาสคัดค้านก่อน

  34. ไม่มีการอุทธรณ์ตามปกติไม่มีการอุทธรณ์ตามปกติ • หากมีการอุทธรณ์ตามลำดับชั้นศาล คือ การอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ตามปกติแล้ว จะมีการอุทธรณ์โดยตรงไปยังศาลฎีกาไม่ได้

  35. จำเลยอุทธรณ์ไม่คัดค้านจำเลยอุทธรณ์ไม่คัดค้าน • การอุทธรณ์ตรงต่อศาลฎีกาต้องเป็นความสมัครใจของคู่ความทั้งสองฝ่าย หากจำเลยอุทธรณ์แม้เพียงคนเดียวคัดค้านไม่ว่าจะแสดงเหตุผลหรือไม่ ก็จะอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาไม่ได้ • การคัดค้านต้องกระทำภายในระยะเวลาให้ทำคำแก้อุทธรณ์ (15 วัน นับแต่ส่งสำเนาคำฟ้องอุทธรณ์และสำเนาคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์ตรงต่อศาลฎีกา)

  36. จำเลยอุทธรณ์ไม่คัดค้านจำเลยอุทธรณ์ไม่คัดค้าน • เมื่อคัดค้านแล้ว ศาลชั้นต้นต้องมีคำสั่งยกคำร้องแล้วส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาต่อไป • หากโจทก์ร่วมซึ่งมิได้เป็นจำเลยอุทธรณ์มาคัดค้านย่อมไม่มีผลเป็นการคัดค้าน ศาลชั้นต้นสามารถส่งอุทธรณ์ไปให้ศาลฎีกาได้ • จำเลยอุทธรณ์เพียงไม่คัดค้าน ไม่ต้องยินยอมก็เพียงพอที่จะอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้

  37. จำเลยอุทธรณ์ไม่คัดค้านจำเลยอุทธรณ์ไม่คัดค้าน • หากยื่นคำคัดค้านมา แต่ไม่ปรากฏในเนื้อหาของคำคัดค้านว่าคัดค้าน ศาลก็สามารถอนุญาตให้อุทธรณ์ต่อศาลฎีกาได้เช่น จำเลยคัดค้านว่าเป็นการอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายปนกับข้อเท็จจริง ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 223 ทวิ ขอให้ยกคำร้อง ซึ่งแปลได้ว่าหากอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายก็ไม่คัดค้าน เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยไม่คัดค้าน(ฎ. 8486/2538)

  38. การมีคำสั่ง • หากศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าเข้าหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ก็ต้องสั่งอนุญาตให้อุทธรณ์ต่อศาลฎีกาต่อไปเสมอ จะใช้ดุลพินิจไม่ส่งอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกาไม่ได้ • หากศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด จะใช้ดุลพินิจส่งคำฟ้องอุทธรณ์ไปให้ศาลฎีกาพิจารณาพิพากษาไม่ได้ ต้องส่งไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา หรือไม่รับอุทธรณ์ในกรณีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์

  39. การมีคำสั่ง • คำสั่งศาลชั้นต้นย่อมเป็นที่สุดไม่ว่าจะอนุญาตหรือยกคำร้อง เว้นแต่กรณียกคำร้องเพราะเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง คำสั่งนั้นยังไม่เป็นที่สุดสามารถอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาได้ ภายใน 15 วันนับแต่ที่มีคำสั่ง: > ศาลฎีกายกคำร้อง ศาลชั้นต้นต้องส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาต่อไป > ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้อุทธรณ์ต่อศาลฎีกาได้ ศาลชั้นต้นต้องส่งสำนวนไปให้ศาลฎีกาพิจารณาพิพากษา

  40. การมีคำสั่ง • การพิจารณาอุทธรณ์ของศาลฎีกา ศาลฎีกาจะตรวจคำสั่งของศาลชั้นต้นว่าชอบด้วยมาตรา 223 ทวิ หรือไม่ • หากไม่ชอบ ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยให้ไม่ได้  ต้องส่งไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาต่อไปตามมาตรา 223 ทวิ วรรค 2

  41. ผู้มีสิทธิอุทธรณ์ • บุคคลผู้มีส่วนได้เสียจากคำพิพากษา • คู่ความ • ผู้ร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ • ผู้ถูกกระทบกระเทือนสิทธิจากคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น • ผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี • ผู้ถูกลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล • ผู้ค้ำประกันในศาล

  42. คู่ความ • ตามมาตรา 1 (11) ได้แก่ โจทก์ จำเลย ผู้ร้องสอดทั้งในระหว่างการนั่งพิจารณาของศาลชั้นต้นหรือในชั้นบังคับคดี รวมทั้งผู้มีอำนาจดำเนินการแทนตัวความ • หากคู่ความทั้ง 2 ฝ่ายไม่พอใจคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้น ต่างฝ่ายต่างก็ต้องทำคำฟ้องอุทธรณ์ของแต่ละฝ่ายเอง ไม่ใช่รวมกันมาในอุทธรณ์เดียวหรือทำเป็นอุทธรณ์แย้ง

  43. คู่ความ • หากผลของคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นสมประโยชน์ ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นแก่คู่ความใดแล้ว คู่ความฝ่ายนั้นก็จะอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ได้ • หากผลของคำพิพากษาหรือคำสั่งกระทบต่อสิทธิในทางสารบัญญัติอันอาจเกิดความเสียหายขึ้นแก่คู่ความฝ่ายนั้น คู่ความดังกล่าวก็ชอบที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นได้

  44. คู่ความ • นายดำมาร้องขอให้ศาลแสดงสิทธิในที่ดินที่ตนอ้างว่าครอบครองโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาตลอดระยะเวลา 10 ปี นายแดงมาคัดค้านอ้างว่านายดำยังครอบครองไม่ครบ 10 ปี จึงขอให้ศาลยกคำร้อง เช่นนี้หากศาลยกคำร้อง เพราะเห็นว่าที่ดินเป็นของนายดำอยู่แล้ว นายดำจึงไม่สามารถครอบครองปรปักษ์ที่ดินของตนเองได้ ผู้ที่ไม่พอใจคำพิพากษาจะสามารถอุทธรณ์ได้หรือไม่

  45. คู่ความ • แม้นายดำจะแพ้คดี เพราะถูกศาลยกคำร้อง แต่ผลแห่งคำพิพากษาย่อมทำให้นายดำได้รับประโยชน์ คือ ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมาตามที่ต้องการ นายดำจึงไม่อุทธรณ์ • ตรงกันข้ามกับนายแดงที่ชนะคดี แต่กลับถูกกระทบกระเทือนสิทธิ จึงสามารถอุทธรณ์ได้

  46. คู่ความ • แม้ศาลจะพิพากษาให้ชนะคดี แต่การอุทธรณ์และการแก้อุทธรณ์อาจเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ต้องมีการตั้งประเด็นไว้ในชั้นอุทธรณ์เพื่อที่จะกล่าวอ้างในชั้นฎีกาได้

  47. คู่ความ • โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้เงินกู้ จำเลยให้การว่าจำเลยชำระหนี้คืนให้โจทก์แล้วและคดีเองก็ขาดอายุความ หากศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยยังไม่ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แต่คดีก็ขาดอายุความ เช่นนี้ผลแห่งคำพิพากษาย่อมทำให้จำเลยไม่ต้องชำระหนี้แก่โจทก์

  48. คู่ความ • หากโจทก์แต่เพียงฝ่ายเดียวอุทธรณ์ว่าคดีไม่ขาดอายุความ แล้วศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะ ประเด็นเรื่องจำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วหรือไม่ย่อมยุติลงไปแล้วตั้งแต่ในศาลชั้นต้น จำเลยย่อมไม่อาจหยิบยกขึ้นมาต่อสู้ในชั้นฎีกาได้อีก (คำพิพากษาฎีกาที่ 1086/2509)

  49. คู่ความ • หากคู่ความหลายคนได้รับผลกระทบจากคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้น คู่ความทุกคนหรือบางคนชอบที่จะอุทธรณ์เพื่อประโยชน์ของตนแต่จะอุทธรณ์เพื่อประโยชน์แก่คู่ความคนอื่น หรือบุคคลภายนอกไม่ได้ • การอุทธรณ์ของคู่ความคนหนึ่งจะมีผลถึงคู่ความอื่นที่มิได้อุทธรณ์ด้วยหรือไม่ เป็นไปตามมาตรา 245

  50. ผู้ร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะผู้ร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ • กรณีคู่ความมรณะก่อนยื่นอุทธรณ์ : • ผู้มีสิทธิรับมรดกความตามมาตรา 42 อาจยื่นคำร้องขอรับมรดกความก่อนหรือยื่นพร้อมกับอุทธรณ์ก็ได้ • หากศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เข้ามารับมรดกความ ผู้ร้องย่อมสามารถอุทธรณ์ได้

More Related