130 likes | 200 Vues
ยุทธศาสตร์พลังงานภายใต้วิกฤติราคาน้ำมัน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 11 กรกฎาคม 2551. 28-2008. เหตุผลและความจำเป็นในการจัดทำยุทธศาสตร์พลังงานของ ส.อ.ท.
E N D
ยุทธศาสตร์พลังงานภายใต้วิกฤติราคาน้ำมันสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 11 กรกฎาคม 2551 28-2008 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
เหตุผลและความจำเป็นในการจัดทำยุทธศาสตร์พลังงานของ ส.อ.ท. ตามที่ราคาน้ำมันได้มีการปรับราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2551 น้ำมันดีเซลซึ่งเป็นน้ำมันเศรษฐกิจได้ปรับราคาสูงขึ้นถึง คิดเป็นร้อยละ 53.34 โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2551 ราคาน้ำมันมีการปรับตัว 30 ครั้ง ราคาน้ำมันดีเซลมีการสูงขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 2.55 บาทต่อลิตร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยสายงานโลจิสติกส์ร่วมกับสายงานพัฒนาอุตสาหกรรม , สถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม และสายงานสภาอุตสาหกรรมจังหวัด ได้ดำเนินการประชุมหารือในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ของ ส.อ.ท. สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ผลกระทบของราคาน้ำมันที่มีภาคเศรษฐกิจ ประกอบด้วย • ด้านโลจิสติกส์ซึ่งมีต้นทุนขนส่งอยู่ถึง 42%โดยสัดส่วนค่าน้ำมันต่อต้นทุนรวมขนส่งเพิ่มจากร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 49 และยังได้รับผลกระทบที่เกิดจากค่าระวางเรือ (Freight Charge) ซึ่งมีการปรับขึ้นไปถึงร้อยละ 18-25% และต้นทุนขนส่งภายในประเทศ ก็ปรับขึ้นไปโดยเฉลี่ยร้อยละ 16-20 • ด้านต้นทุนการผลิต น้ำมันจัดเป็นต้นทุนของวัตถุดิบ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ทำให้วัตถุดิบต้นน้ำที่จำเป็น มีราคาสูงขึ้นกว่าร้อยละ 30-40 ในบางอุตสาหกรรมอาจสูงกว่าร้อยละ 80 สำหรับเฉพาะค่าแรงมีการปรับไปถึง 12-15% • อุตสาหกรรมผลิตอาหารได้รับผลกระทบจากวัตถุดิบในภาคเกษตรซึ่งก็ได้มีการปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากพื้นที่ถูกนำไปใช้ในการทำพืชพลังงาน สินค้าเกษตรโดยเฉลี่ยแล้วมีราคาสูงขึ้นประมาณร้อยละ 80.5% • ผลกระทบจากเงินเฟ้อทำให้อุปสงค์ลดลง • ในช่วงเดือนตุลาคม 2550- มิถุนายน 2551 เงินเฟ้อมีการปรับตัวอย่างรุนแรง ถึง 250% ซึ่งการที่น้ำมันที่ขึ้นราคาทุก 1 บาท จะส่งผลต่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.387 • การเพิ่มอัตราดอกเบี้ย จะเป็นการยิ่งซ้ำเติมภาคอุตสาหกรรม • ทาง ธปท. จึงไม่ควรขึ้นดอกเบี้ยในช่วงนี้ หากเป็นไปได้ควรจะชะลอไปประมาณ 3 เดือน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ยุทธศาสตร์ลดการใช้พลังงานภายใต้วิกฤติราคาน้ำมันของ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
1 ภาคการเมือง ขอให้ภาครัฐมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับด้านพลังงานซึ่งให้เป็นวาระแห่งชาติ ในการรองรับราคาน้ำมันหากน้ำมันดีเซลไปถึงลิตรละ 50-60 บาท โดยเฉพาะผลกระทบที่มีต่อภาคการผลิตและอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
2 ภาคประชาชน ขอให้มีแผนแม่บทในการใช้เอทานอลเป็นวาระแห่งชาติ (Ethanol Master Plan) • ภาครัฐจะต้องมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเสริมการใช้ E85 ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับโครงสร้างอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์ รวมทั้ง มาตรการทางภาษี • ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้เข้าใจเกี่ยวกับ Fuel Consumptionคือปริมาณการสิ้นเปลืองที่จะสูงกว่าการใช้น้ำมันเบนซินประมาณร้อยละ 26-30 • ต้องมีการกำหนดโครงสร้างด้านราคาของเอทานอลต้องต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน โดยราคา E-85 จะต้องต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินประมาณร้อยละ 30 เพื่อชดเชยกับการที่ต้องใช้ปริมาณที่มากกว่าน้ำมันเบนซิน (หากเบนซินราคา 42.19 บาทต่อลิตร ราคา E85 อย่างน้อยต้อง 29.53 บาทต่อลิตร) • ภาครัฐจะต้องมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับราคา LPG หากราคา LPG มีราคาถูกกว่า E-85 ก็จะไม่เป็นการจูงใจให้เกิดการผลิตรถเครื่องยนต์ E-85 (ปัจจุบันราคา LPG มีราคาถูกกว่า E-85 ประมาณ 4.6 เท่า) • ให้มีแผนการผลิตเอทานอลให้พอเพียงกับความต้องการ (ภายในปี 2552) หากจะทดแทนเบนซิน ซึ่งมีปริมาณการใช้วันละ 20 ล้านลิตร ต้องใช้เอทานอล 17 ล้านลิตร ต้องใช้เนื้อที่ในการปลูกมันสำปะหลังประมาณ 5-6 ล้านไร่ ซึ่งภาครัฐจะต้องมีนโยบายสนับสนุนแหล่งการเพาะปลูกอย่างเป็นระบบ (แป้ง 6.5 KGS= 1LT , แป้ง 3M/T = 1 ไร่) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
3 ภาคอุตสาหกรรม ขอให้แยกราคา LPGในภาคอุตสาหกรรมต่างหากจากภาคขนส่ง เนื่องจาก LPG เป็นการใช้ในภาคอุตสาหกรรมประมาณร้อยละ 15.06 (เดือนละ 58,000 Ton)โดยการลอยตัว LPG ราคาไม่ควรเท่ากับที่ใช้ในรถยนต์เพราะเป็นต้นทุนของสินค้า โดยสามารถกำหนดประเภทอุตสาหกรรมที่ใช้ LPG และ Propane (C3)ให้มาขึ้นทะเบียน เพื่อให้ได้รับการอุดหนุน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
4 ภาคขนส่ง มาตรการส่งเสริม NGV หรือ CNG ในภาคการขนส่ง • ขอให้ภาครัฐสนับสนุนให้มีการจัดตั้งกองทุน NGV Transport Fund สำหรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการขนส่ง จำนวน 20,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี ดอกเบี้ย -2 MLR เพื่อจะเป็นการนำร่องในการติดตั้ง NGV สำหรับรถบรรทุกจำนวน 35,000 คัน สามารถประหยัดการนำเข้าน้ำมันดีเซลได้ 22,400 ล้านบาทต่อปี (NGV ประหยัดกว่าดีเซล 70%) • ขอให้ภาครัฐสนับสนุนให้มีการผลิตรถบรรทุกที่มีเครื่อง NGV ในประเทศ รวมทั้ง ส่งเสริมให้มีการผลิตแทงค์ NGV ซึ่งปัจจุบันถัง NGV และอุปกรณ์มีการนำเข้าจากต่างประเทศทั้งสิ้น • ขอให้ภาครัฐส่งเสริมเอกชนให้มีการจัดตั้งสถานีจ่ายน้ำมันให้พอเพียง โดยเฉพาะ NGV ปริมาณของปั้มไม่พอเพียง โดยเฉพาะปั้มที่อยู่นอกแนวท่อ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
5 ยุทธศาสตร์โครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ระยะเร่งด่วน • ลดการใช้ขนส่งทางถนน โดยให้เร่งรัดการก่อสร้างเส้นทางรถไฟรางคู่ เส้นทางแก่งคอย – คลองสิบ และเส้นทางฉะเชิงเทรา – ศรีราชา ซึ่งจะเป็นเส้นทางเชื่อมกับท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อรองรับตู้สินค้าจาก ICD ลาดกระบัง 700,000 TEU/ปี • ให้ดำเนินการก่อสร้าง Chord Lineหรือทางเบี่ยงของรถไฟ ระยะทาง 3 กม. ตามชุมทางที่สำคัญ เพื่อช่วยเพิ่มความเร็วของรถไฟ เนื่องจากการรอรางรถไฟรางคู่ทั่วประเทศ คงต้องใช้เวลาเกินกว่า 6-7 ปี (การขนส่งทางรางประหยัดกว่าขนส่งทางถนน 3.35 เท่า) • ให้เร่งรัดการก่อสร้างท่าเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำสายหลัก โดยเฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยาเร่งจัดหาพื้นที่สร้างท่าเรือที่อำเภอท่าเรือ จังหวัดอยุธยา และที่อำเภอป่าโมกข์ จังหวัดอ่างทองและพิจารณาให้เรือขนส่งสินค้าได้ถึงจังหวัดนครสวรรค์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ให้มีการส่งเสริมการขนส่งชายฝั่ง และ เร่งรัดท่าเรือ A0 (ท่าเรือแหลมฉบัง)ให้เป็นท่าเรือชายฝั่ง (การขนส่งทางน้ำประหยัดกว่าการขนส่งทางถนน 8.53 เท่า) • ท่าเรือแหลมฉบัง ไม่มีท่าเรือชายฝั่ง โดยต้องไปใช้ร่วมกับท่าเรือสากล ซึ่งต้องเสียเวลารอ • สนับสนุนให้ใช้ที่ดินของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ซึ่งติดกับท่าเรือ A0 จำนวน 50 ไร่ หน้ากว้างประมาณ 170 เมตร ให้พัฒนาเป็นท่าเรือชายฝั่ง ใช้งบประมาณ 500 ล้านบาท • ให้กรมศุลกากรดำเนินการแก้ไขปรับปรุงระเบียบว่าด้วยการจอดเรือชายฝั่งของท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งปัจจุบันใช้วิธีอะลุ่มอล่วย รวมทั้ง ให้กรมศุลกากรเร่งแก้ไขปัญหาอุปสรรคเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออก ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เพิ่มต้นทุนการขนส่ง เนื่องจากรถจะเสียเวลารอ • ให้มีการส่งเสริมการใช้รถพ่วง (B-Double) และลดการขนส่งเที่ยวเปล่า (Back Haul)ซึ่งมีจำนวนประมาณ 46% โดยให้มีระบบการส่งเสริมและสนับสนุนมาตรการดังกล่าวอย่างเป็นระบบ ก็จะสามารถประหยัดพลังงานได้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
6 การส่งเสริมท่าเรือชายฝั่งตะวันตกSouthern Seaboard • สนับสนุนการก่อสร้างท่าเรือปากบารา อำเภอละงู จังหวัดสตูล ให้เป็นท่าเรือระดับ Ocean Ship มีศักยภาพแข่งขันในระดับท่าเรือปีนังของมาเลเซีย • สนับสนุนให้มีการก่อสร้างท่าเรือสงขลา 2 ให้เร่งกำหนดแนวพื้นที่และก่อสร้างท่าเรือสงขลา ให้มีร่องน้ำอย่างน้อย 12 เมตร โดยกำหนดแนวพื้นที่ เช่นที่อำเภอจะนะ ฯลฯ • การพัฒนาพื้นที่ Landbridgeระหว่างท่าเรือปากบารากับท่าเรือสงขลา ระยะทาง 150 กิโลเมตร โดยให้มีระบบขนส่งทางรางและทางถนน และแนวท่อน้ำมัน • การส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนใน 3 จังหวัดภาคใต้ และเขตสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ สงขลา – สตูล – นครศรีธรรมราช – สุราษฎร์ธานี – กระบี่ – พังงา – สตูล ให้เป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
7 มาตรการการส่งเสริมการใช้พลังงานเชื้อเพลิงราคาต่ำในระยะยาว • ขอให้มีนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนพืชพลังงาน ทั้งที่นำไปผลิตเอทานอลและไบโอดีเซล ควรจะกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ของประเทศในการโซนนิ่งพื้นที่ มีระบบการประกันราคา • การใช้ถ่านหินซัลเฟอร์ต่ำและถ่านหินในรูปของเหลว (CTL) เป็นพลังงานในภาคอุตสาหกรรม และการผลิตกระแสไฟฟ้า • ให้มีการสนับสนุนโครงการในการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานในอุตสาหกรรม รวมทั้ง เงินช่วยเหลือการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีและหรือเครื่องจักร ซึ่งจะทำให้มีการประหยัดพลังงาน • การส่งเสริมโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าประหยัดพลังงานของภาคเอกชน โดยให้มีการจูงใจทั้งในแง่ภาษีและสิทธิประโยชน์ต่างๆ • การให้มีแผนระยะยาวด้านการใช้พลังงานนิวเคลียร์ หากไม่ดำเนินการวันนี้ประเทศไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า จะมีขีดความสามารถด้านพลังงานที่ไม่สามารถแข่งขันได้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
END สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย