390 likes | 575 Vues
2. ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์. ลักษณะและสาเหตุที่ทำให้ตลาดเป็นตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ ประเภทของตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ ปริมาณการผลิตที่เหมาะสมที่สุดของผู้ผลิต 2.1 ตลาดผูกขาด ( Monopoly) 2.2 ตลาดผู้ขายมากราย ( Monopolistic) 2.3 ตลาดผู้ขายน้อยราย (Oligopoly).
E N D
2. ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ ลักษณะและสาเหตุที่ทำให้ตลาดเป็นตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ ประเภทของตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ ปริมาณการผลิตที่เหมาะสมที่สุดของผู้ผลิต 2.1 ตลาดผูกขาด (Monopoly) 2.2 ตลาดผู้ขายมากราย (Monopolistic) 2.3 ตลาดผู้ขายน้อยราย (Oligopoly)
ลักษณะและสาเหตุที่ทำให้ตลาดเป็นตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ลักษณะและสาเหตุที่ทำให้ตลาดเป็นตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ • ผู้ซื้อและผู้ขายในตลาดมีส่วนในการกำหนดราคาสินค้า • สินค้ามีความแตกต่างกัน ไม่สามารถใช้แทนกันได้อย่างสมบูรณ์ • แตกต่างกันทางรูปร่าง ขนาด รูปลักษณ์ภายนอก เช่น รถยนต์ • แตกต่างกันในสายตาของผู้ซื้อ เช่น Nokia ดีกว่า Ericson • แตกต่างด้านบริการหรือการส่งเสริมการขาย เช่น ปั้มน้ำมัน • ผู้ซื้อและผู้ขายไม่มีความรู้เกี่ยวกับตลาดอย่างสมบูรณ์ • การเข้าออกจากอุตสาหกรรมไม่ได้เป็นไปอย่างเสรี • การโยกย้ายปัจจัยการผลิตไม่ได้เป็นไปอย่างเสรี
ประเภทของตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ประเภทของตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ • หากพิจารณาจากจำนวนผู้ซื้อและจำนวนผู้ขาย สามารถจำแนกได้เป็น • ตลาดผูกขาด เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา สัมปทานการเดินรถ • ตลาดผู้ขายมากราย เช่น ร้านเสริมสวย ร้านอาหารตามสั่ง เฟอร์นิเจอร์ สบู่ ผงซักฟอก แป้ง • ตลาดผู้ขายน้อยราย เช่น การให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เบียร์ น้ำอัดลม ธนาคารพาณิชย์ เครื่องดื่มชูกำลัง
ปริมาณการผลิตที่เหมาะสมที่สุดของผู้ผลิตปริมาณการผลิตที่เหมาะสมที่สุดของผู้ผลิต • เส้นอุปสงค์ในทัศนะของหน่วยธุรกิจ • เส้นรายรับหน่วยสุดท้ายของหน่วยธุรกิจ • การหาปริมาณการผลิตที่เหมาะสมที่สุด • Marginal Concept • Total Concept
1. เส้นอุปสงค์ในทัศนะของหน่วยธุรกิจ • หน่วยธุรกิจแต่ละรายสามารถเปลี่ยนแปลงปริมาณขายให้เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ โดยการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าของตน • ราคาต่ำจะสามารถขายสินค้าได้มาก ในขณะที่ราคาสูงขึ้นจะขายสินค้าได้ลดลง • เส้นอุปสงค์ของผู้บริโภคจะเป็นเส้นที่ลาดลงจากซ้ายลงมาทางขวา และมีค่าความชันเป็นลบ
ความชันของเส้นอุปสงค์ความชันของเส้นอุปสงค์ D2 คือ ตลาดผูกขาด : ความชันค่อนข้างมาก D คือ ตลาดผู้ขายน้อยราย D1คือ ตลาดผู้ขายมากราย : ความชันค่อนข้างน้อย 1. เส้นอุปสงค์ในทัศนะของหน่วยธุรกิจ (ต่อ) P D2 D1 D Q
2. เส้นรายรับหน่วยสุดท้ายของหน่วยธุรกิจ
2. เส้นรายรับหน่วยสุดท้ายของหน่วยธุรกิจ (ต่อ) P P 5 5 D 4 • Q = 3 หน่วย จะได้ TR = 15 • Q = 4 หน่วย จะได้ TR = 20 D Q Q 3 4 3 4 • Q = 3 หน่วย จะได้ TR = 15 • Q = 4 หน่วย จะได้ TR = 16
สมมติให้ขายสินค้าที่ OQ หน่วย หา TR = พื้นที่ OPAQ หา ΣMR = พื้นที่OMNQ TR = ΣMR พื้นที่ OPAQ = พื้นที่OMNQ PME = ANE PE = EA MP = AN ME = EN 2. เส้นรายรับหน่วยสุดท้ายของหน่วยธุรกิจ (ต่อ) P, R M E A P N D=AR MR Q O Q1 Q
MR > MC หน่วยธุรกิจมีกำไร MR = MC จุดที่ทำกำไรให้หน่วยธุรกิจมากที่สุด MR < MC หน่วยธุรกิจขาดทุน ณ จุด E ซึ่งเป็นจุดที่ MR = MC มีปริมาณการผลิตเท่ากับ OQ นับเป็นปริมาณการผลิตที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากหน่วยธุรกิจได้รับกำไรรวมสูงที่สุด (พื้นที่แรเงา) 3. การหาปริมาณการผลิตที่เหมาะสมที่สุด : Marginal Concept C, R MC P E D=AR MR Q O Q1
ลักษณะเส้น TR : เป็นเส้นที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงตามลำดับ มีระดับสูงสุด และลดลงในที่สุด ปริมาณการผลิตที่เหมาะสมที่สุด เป็นปริมาณการผลิตที่ TR มีระยะห่างจาก TC มากที่สุด จากรูป ปริมาณการผลิต OQ หน่วย เป็นปริมาณการผลิตที่ TR ห่างจาก TC มากที่สุด กำไรที่หน่วยธุรกิจได้รับ คือ AB (กำไรสูงสุด) 3. การหาปริมาณการผลิตที่เหมาะสมที่สุด : Total Concept TC C, R A TR B Q O Q
2.1 ตลาดผูกขาด (Monopoly) ความหมายและลักษณะของเส้นอุปสงค์ ดุลยภาพและเส้นอุปทานในระยะสั้น ดุลยภาพในระยะยาว การผูกขาดภายใต้ข้อบังคับ การแบ่งแยกราคาขาย
ลักษณะของตลาดผูกขาด • มีผู้ขายสินค้าเพียงรายเดียว • ไม่มีสินค้าอื่นทดแทนได้ • ผู้ผลิตรายใหม่จะเข้ามาแข่งขันไม่ได้ หรือเข้าได้ลำบาก
สาเหตุของการเกิดตลาดผูกขาดสาเหตุของการเกิดตลาดผูกขาด • ผู้ผลิตเป็นเจ้าของหรือควบคุมวัตถุดิบในการผลิตสินค้าแต่เพียงผู้เดียว (ธรรมชาติ) • ธุรกิจเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์หรือได้รับสัมปทานในการผลิตและจำหน่ายเพียงผู้เดียว (กฎหมาย) • เกิดจากการประหยัดจากขนาดของการผลิต เช่น โรงงานผลิตไฟฟ้า การผลิตที่มีขนาดเล็กจะมีต้นทุนสูงมาก
ลักษณะของเส้นอุปสงค์ จะมีความยืดหยุ่นน้อย (%ΔP>%ΔQ) อุปสงค์ของหน่วยผลิต เป็นเส้นเดียวกับอุปสงค์ของอุตสาหกรรม ความชันบอกถึงอำนาจการผูกขาด ระยะห่างจากแกนตั้งของเส้น AR,MR บอกถึงขนาดหรือความรุนแรงของการผูกขาดในตลาดนี้อีกด้วยนั่นคือ ยิ่งเส้นอุปสงค์มีระยะห่างจากแกนตั้งมากเท่าไหร่ สินค้านั้นยิ่งมีความจำเป็นสำหรับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ลักษณะของเส้นอุปสงค์ P, R D=AR MR Q O
เกิดขึ้น ณ จุดซึ่งต้นทุนหน่วยสุดท้ายของผู้ผูกขาดในระยะสั้นเท่ากับรายรับหน่วยสุดท้าย (SMC = MR) จากรูป ดุลยภาพในระยะสั้นเกิดขึ้น ณ จุด E โดยผู้ผูกขาดจะผลิตสินค้าออกขายจำนวน OQ หน่วย และขายสินค้าในราคาหน่วยละ OP บาท ดุลยภาพในระยะสั้น C, R SMC P A SAC B C E D=AR= P MR Q O Q
ดุลยภาพในระยะสั้น (ต่อ) • ผู้ผูกขาดมีกำไรเกินปกติ • TR = OPAQ • TC = OCBQ • = PABC • กำไรหรือขาดทุนของหน่วยธุรกิจขึ้นอยู่กับ ต้นทุนต่อหน่วย (SAC) และ รายรับต่อหน่วย (AR) • การกำหนดปริมาณการผลิตและราคาของหน่วยธุรกิจ จะต้องเลือกกำหนดตัวแปรตัวใดตัวหนึ่งก่อน แล้วปล่อยให้ตัวแปรอีกตัวหนึ่งกำหนดจากเส้นอุปสงค์ของตลาด
จุดที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างราคาและปริมาณเสนอขาย คือ จุด B ซึ่งอยู่บนเส้น AR การหาเส้นอุปทานตลอดทั้งเส้น จะทำได้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในเส้นอุปสงค์ (AR) หรือเส้นต้นทุนหน่วยสุดท้ายในระยะสั้น (SMC) เส้นอุปทานในระยะสั้น C, R SMC P B A D=AR MR Q O Q
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในเส้นอุปสงค์ (AR) แต่มีต้นทุนเท่าเดิม จุด A จุดที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างราคาและปริมาณเสนอขายเดิม จุด B จุดที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างราคาและปริมาณเสนอขายใหม่ ดังนั้น เส้นอุปทานของผู้ผูกขาดคือเส้นที่ลากเชื่อมจุด A และจุด B แสดงให้เห็นว่า ราคาสูงขึ้น ผู้ผูกขาดจะนำสินค้าออกมาเสนอขายมากขึ้น SMC AR1 MR1 เส้นอุปทานในระยะสั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในเส้นอุปสงค์ C, R B P2 A P1 MR2 AR2 Q O Q1 Q2
ดุลยภาพในระยะยาว • ในระยะยาวผู้ผูกขาดสามารถได้รับกำไรเกินปกติต่อไปได้ แต่ผู้ผูกขาดจะปรับขนาดการผลิตใหม่ให้เหมาะสมกับสภาพความต้องการสินค้าในตลาด • ปริมาณการผลิตที่เหมาะสมที่สุดอยู่ ณ จุดที่ต้นทุนหน่วยสุดท้ายในระยะยาวเท่ากับรายรับหน่วยสุดท้าย (LMC = MR)
ดุลยภาพในระยะสั้น คือ จุด E1 (SMC1=MR) ผลิตสินค้า OQ1ด้วยขนาดโรงงาน SAC1 TR = OP1A1Q1 TC = OC1B1Q1 = P1A1B1C1 ดุลยภาพในระยะยาว (ต่อ) C, R SMC1 A1 P1 LAC SAC1 B1 C1 E1 AR=D=P MR Q 0 Q1
ดุลยภาพในระยะยาว คือ จุด E(LMC=MR) ผลิตสินค้า OQ ด้วยขนาดโรงงานที่เหมาะสมที่สุด TR = OPAQ TC = OCBQ = PABC ดุลยภาพในระยะยาว (ต่อ) C, R LMC A P LAC B C AR=D=P E MR Q 0 Q
ดุลยภาพในระยะยาว (ต่อ) C, R LMC SMC1 A1 P1 A P LAC SAC1 C1 B1 B C E1 AR=D=P E MR Q 0 Q1 Q
การผูกขาดภายใต้ข้อบังคับ (Regulated Monopoly) • การผูกขาดก่อให้เกิดประโยชน์ในแง่เศรษฐกิจ เนื่องจากเกิดการประหยัดต่อขนาด • ในตลาดผูกขาด ผู้ผูกขาดอาจเอาเปรียบผู้บริโภคโดยการตั้งราคาสูง หรือการนำสินค้าออกมาขายในปริมาณที่ไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค • รัฐจึงเข้าควบคุมดูแลการผูกขาด เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ผูกขาดเอาเปรียบผู้บริโภค ซึ่งเรียกว่า การผูกขาดภายใต้ข้อบังคับ โดย
การผูกขาดภายใต้ข้อบังคับ (ต่อ) • ทางตรง (direct control): เป็นการเข้าควบคุมกำหนดราคาสินค้า ซึ่งเท่ากับเป็นการกำหนดปริมาณการผลิตของผู้ผูกขาดไปในตัว • ทางอ้อม (indirect control): เป็นการควบคุมโดยผ่านระบบภาษี ซึ่งรัฐจะปล่อยให้ผู้ผูกขาดกำหนดปริมาณการผลิตและราคาสินค้าโดยเสรี แต่จะเข้าเก็บภาษีจากการจำหน่ายสินค้าดังกล่าว • ภาษีต่อหน่วย • ภาษีเหมาจ่าย
กรณีรัฐไม่เข้าไปควบคุม : ผู้ผูกขาดจะผลิต ณ จุด E TR = OPAQ TC = OCBQ = PABC ผู้ผูกขาดยังสามารถทำกำไรเกินปกติได้จนถึงปริมาณการผลิต Qg ซึ่งเป็นจุดที่ LAC=AR การควบคุมโดยตรง (Direct Control) C, R LMC P A LAC C B D Pg E D=AR MR Q O Q Qg
การควบคุมโดยตรง (ต่อ) • ปริมาณการผลิตที่ผู้ผลิตได้รับกำไรปกติ นับเป็นปริมาณการผลิตและราคาที่ยุติธรรม (fair quantity an fair price) • ผู้ผลิตได้รับกำไรปกติ ซึ่งเพียงพอที่จะดำเนินธุรกิจต่อไป • ผู้บริโภคสามารถมีสินค้าบริโภคได้มากขึ้นกว่าเดิม ในราคาที่ต่ำลง • ซึ่งการกำหนดราคาเท่ากับต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วย (ได้รับกำไรปกติ) เรียกว่า average cost price C, R LMC P A LAC C B D Pg E D=AR MR Q O Q Qg
การควบคุมโดยอ้อม (indirect control)กรณีของการเก็บภาษีต่อหน่วย • เส้นต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วย และเส้นต้นทุนหน่วยสุดท้าย ของผู้ผูกขาดจะเคลื่อนสูงขึ้นหน่วยละเท่าๆกัน เท่ากับภาษีต่อหน่วยที่เรียกเก็บ C, R LMCT LMC A1 Pg A LACT P LAC B1 C1 B C E1 AR=D=P E MR Q 0 Q Q1
การควบคุมโดยอ้อม:กรณีของการเก็บภาษีต่อหน่วย (ต่อ) • เดิมต้นทุนของผู้ผูกขาดเท่ากับ LAC และ LAC ผู้ผูกขาดจะกำหนดการผลิต ณ จุด E (LMC=MR) ปริมาณการผลิต OQ หน่วย และขายราคาหน่วยละ OP บาท • เมื่อรัฐเข้าควบคุมการผูกขาดโดยการเก็บภาษีต่อหน่วย ต้นทุนของผู้ผูกขาดเท่ากับ LACTและ LMCTโดยผู้ผูกขาดจะกำหนดปริมาณการผลิตใหม่ที่จุด E1 (LMCT=MR) ปริมาณการผลิต OQg หน่วย และขายราคาหน่วยละ OPg บาท • กำไรของผู้ผูกขาดจะลดลง
การควบคุมโดยอ้อม : กรณีของการเก็บภาษีเหมา • ต้นทุนของผู้ผูกขาดเพิ่มขึ้นในลักษณะเดียวกับการเพิ่มขึ้นของต้นทุนคงที่ ดังนั้น ต้นทุนต่อหน่วยจะเพิ่มขึ้นในจำนวนที่ลดลงเมื่อปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น (ภาษีเฉลี่ยต่อหน่วยลดลง) • ลักษณะของเส้น LACTจะเลื่อนสูงขึ้นจากเส้น LAC เดิม แต่ระยะห่างจะค่อยๆ ลดลง • ลักษณะของเส้น LMC จะไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากต้นทุนหน่วยสุดท้ายไม่มีความสัมพันธ์กับต้นทุนคงที่
การควบคุมโดยอ้อม : กรณีของการเก็บภาษีเหมา (ต่อ) C, R LMC A P LACT B1 C1 LAC B C AR=D=P E MR Q 0 Q
การควบคุมโดยอ้อม : กรณีของการเก็บภาษีเหมา (ต่อ) • เดิมต้นทุนของผู้ผูกขาดเท่ากับ LAC และ LAC ผู้ผูกขาดจะกำหนดการผลิต ณ จุด E (LMC=MR) ปริมาณการผลิต OQ หน่วย และขายราคาหน่วยละ OP บาท • เมื่อรัฐเข้าเก็บภาษีเหมา ต้นทุนของผู้ผูกขาดเท่ากับ LACTและ LMC ผู้ผูกขาดจะยังคงกำหนดปริมาณการผลิตที่จุด E (LMC=MR) ปริมาณการผลิต OQ หน่วย และขายราคาหน่วยละ OP บาท • กำไรของผู้ผูกขาดจะลดลง
สรุปผลของการควบคุมโดยอ้อมสรุปผลของการควบคุมโดยอ้อม • การเก็บภาษีต่อหน่วย : LAC& LMC ของผู้ผูกขาดจะเคลื่อนสูงขึ้นหน่วยละเท่าๆกัน เท่ากับภาษีต่อหน่วยที่เรียกเก็บ • ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น • ปริมาณการผลิตลดลง • กำไรของผู้ผูกขาดลดลง • การเก็บภาษีเหมา : LACจะเลื่อนสูงขึ้นจากเส้นเดิม แต่ระยะห่างจะค่อยๆ ลดลง แต่LMC จะไม่เปลี่ยนแปลง • ราคาสินค้าและปริมาณการผลิตไม่เปลี่ยนแปลง • กำไรของผู้ผูกขาดลดลง
การแบ่งแยกราคาขาย (price discrimination) • เป็นการกำหนดราคาสินค้าชนิดเดียวกัน สำหรับกลุ่มผู้ซื้อกลุ่มต่างๆ ในราคาที่แตกต่างกัน โดยผู้ซื้อกลุ่มหนึ่งจะตั้งราคาสูง และอีกกลุ่มหนึ่งจะตั้งราคาต่ำ • ยกตัวอย่างเช่น การให้บริการ Fitness KKU การซื้อบัตรเข้าชมการแสดงละคร การซื้อตั๋วเครื่องบิน
การแบ่งแยกราคาขาย (ต่อ) • ผู้ผลิตจะทำการแบ่งแยกราคาขายได้ ก็ต่อเมื่อ • ผู้ผลิตต้องมีอำนาจผูกขาดอย่างเต็มที่ • ผู้ผลิตจะต้องสามารถแยกผู้ซื้อออกเป็นกลุ่มๆ ได้ โดยผู้ซื้อแต่ละกลุ่มจะมีค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์ที่แตกต่างกัน • กรณีสินค้าเหมือนกันทุกประการ ผู้ผลิตจะต้องสามารถป้องกันไม่ให้เกิดการขายซ้ำ
การแบ่งแยกราคาขาย (ต่อ) C, R C, R C, R MC P1 P2 AR2=d2 MR AR=D AR1=d1 MR2 MR1 Q Q Q 0 Q1 Q2 Q
การแบ่งแยกราคาขาย (ต่อ) • ผู้ผูกขาดสามารถแบ่งผู้ซื้อออกเป็น 2 กลุ่ม คือ • กลุ่มที่มีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาสินค้าค่อนข้างต่ำ • กลุ่มที่มีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาสินค้าค่อนข้างสูง • ผู้ผูกขาดจะกำหนดปริมาณการผลิตที่ MC=MR ปริมาณการผลิต OQ หน่วย ผู้ผลิตจะแบ่งสินค้าขายในแต่ละตลาดจนกระทั่งรายรับเพิ่มของแต่ละตลาดเท่ากันพอดี (MR1 = MR2) • แบ่งสินค้าไปขายในตลาดที่ 1 จำนวน OQ1 หน่วย • แบ่งสินค้าไปขายในตลาดที่ 2 จำนวน OQ2 หน่วย
การแบ่งแยกราคาขาย (ต่อ) • การตั้งราคาขายที่แตกต่างกันสำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่แตกต่างกัน จะทำให้ได้รับกำไรรวมมากกว่าการตั้งราคาขายเพียงราคาเดียว • ผู้ผลิตจะแบ่งสินค้าขายในแต่ละตลาดจนกระทั่งรายรับเพิ่มของแต่ละตลาดเท่ากันพอดี (MR1 = MR2) หาก MR1 > MR2 ผู้ผลิตจะเคลื่อนย้ายสินค้าจากตลาดที่ 2 ไปตลาดที่ 1 • ข้อสังเกต: ราคาในตลาดที่มีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่ำจะมีราคาสูงกว่าตลาดที่มีความยืดหยุ่นของอุปสงค์สูง
การกำหนดราคาลำเอียง รายรับ รายรับ ต้นทุน&รายรับ 12 MC 7 6 5 4 ΣD1+D2 2 MC MR1 D1 D2 MR2 ΣMR1+MR2 50 40 90 ปริมาณสินค้า TR= 350 TC = 100 = 250 TR= 160 TC = 80 = 80 TR= 450 TC = 180 = 270 >