1 / 67

Chapter 3

ANGKANA. Chapter 3. บทบาทของระบบสารสนเทศในองค์กร. ANGKANA. บทนำ.

Télécharger la présentation

Chapter 3

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. ANGKANA Chapter 3 บทบาทของระบบสารสนเทศในองค์กร

  2. ANGKANA บทนำ บทนี้กล่าวถึงบทบาทของระบบสารเทศชนิดต่าง ๆ ที่มีต่อองค์กร โดยเริ่มจากการจัดประเภทระบบสารสนเทศตามระดับการสนับสนุนขององค์กร อธิบายระบบงานที่สนับสนุนงานในองค์กรด้านต่าง ๆ โดยแสดงให้เห็นว่าระบบสารสนเทศสามารถนำมาช่วยงานในกระบวนการทางธุรกิจ รวมทั้งกระบวนการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าและการบริหารห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้จะกล่าวถึงระบบงานองค์กรและระบบเครือข่ายอุตสาหกรรมซึ่งจะช่วยให้องค์กรสามารถบูรณากระบวนการทำงานทางธุรกิจและข่าวสารได้ทั่วทั้งองค์กรหรือทั่วทั้งอุตสาหกรรม

  3. หัวข้อการเรียนรู้ • ระบบงานหลักในองค์กร • การพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงาน • การบูรณาการระบบงาน และกระบวนการทางธุรกิจ : ระบบสารสนเทศองค์กรและระบบเครือข่ายอุตสาหกรรม

  4. ระบบงานหลักในองค์กร โครงสร้างขององค์กรทั่วไป แบ่งเป็น 4 ระดับ คือ ระดับกำหนดกลยุทธ์ (Strategic Level) ระดับการบริหาร (Management Level) ระดับผู้ชำนาญการ (Knowledge and Data Workers Level) ระดับปฏิบัติการ (Operational Level) โครงสร้างขององค์กรตามกลุ่มหน้าที่การทำงาน แบ่งเป็น 5 กลุ่ม คือ กลุ่มการขาย และการตลาด (Sales and Marketing) กลุ่มการผลิต (Manufacturing) กลุ่มการเงิน (Finance) กลุ่มการบัญชี (Accounting) กลุ่มทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource)

  5. ระบบงานหลักในองค์กร

  6. ระบบสารสนเทศแบบต่าง ๆ ระบบสารสนเทศสำหรับผู้ปฏิบัติการ (Operational-level System) สนับสนุนการทำงานของผู้บริหารในส่วนปฏิบัติงานโดยการช่วยบันทึกรายละเอียดของงานระดับล่าง และรายการธุรกรรมข้อมูล ระบบนี้มีวัตถุประสงค์หลักในการตอบคำถามสำหรับงาน และรายการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่เกิดขึ้นเป็นประจำ

  7. ระบบสารสนเทศแบบต่าง ๆ ระบบสารสนเทศสำหรับผู้ชำนาญการ (Knowledge-level System) สนับสนุนการทำงานของพนักงานผู้มีความรู้พิเศษหรือทำงานเกี่ยวข้องกับข้อมูลโดยเฉพาะ โดยให้ความช่วยเหลือในการรวบรวม การค้นหา และการประสานความรู้ใหม่ ๆ รวมทั้งควบคุมการเผยแพร่และนำเสนอข้อมูลภายในองค์กร ระบบสารสนเทศสำหรับผู้ชำนาญการในรูปแบบของเครื่องมือสำหรับการทำงานร่วมกัน การทำงานเฉพาะบุคคล และการทำงานร่วมกันในสถานที่ทำงาน ซึ่งเป็นระบบที่กำลังเป็นที่นิยมนำมาใช้งานอย่างแพร่หลาย

  8. ระบบสารสนเทศแบบต่าง ๆ ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร (Management-level System) ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นเครื่องมือสำหรับการตรวจสอบ การควบคุม การตัดสินใจ และการบริหารของผู้บริหารระดับกลาง ซึ่งจะต้องตอบคำถามเช่น “ทุกส่วนขององค์กรกำลังทำงานไปตามปกติหรือไม่” โดยระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารมักจะมีการทำรายงานสรุปตามระยะเวลามากกว่าการทำรายงานเป็นครั้งคราว ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารบางระบบสนับสนุนการตัดสินใจในเรื่องที่อยู่นอกเหนือการทำงานตามปกติ ซึ่งมักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับปัญหาแบบกึ่งมีโครงสร้าง เช่น ถ้าต้องการเพิ่มยอดขายสินค้าในเดือนธันวาคมขึ้นเป็นสองเท่าของยอดขายปกติแล้ว จะเกิดผลกระทบต่อตารางการผลิตสินค้าอย่างไรบ้าง เป็นต้น

  9. ระบบสารสนเทศแบบต่าง ๆ ระบบสารสนเทศสำหรับผู้กำหนดกลยุทธ์ (Strategic-level System) ระดับนี้จะช่วยผู้บริหารระดับสูงในการแก้ไขและกำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจระยะยาวและแนวโน้มของสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งในองค์กรและสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น ในอีก 5 ปีข้างหน้า ควรกำหนดจำนวนการจ้างพนักงานเป็นเท่าใด หรือควรจะผลิตสินค้าชนิดใด เป็นต้น

  10. ระบบสารสนเทศแบบต่าง ๆ ระบบสารสนเทศอาจถูกจำแนกตามหน้าที่การทำงานเฉพาะด้าน หรือตามโครงสร้างองค์กร เช่น ด้านการขายและการตลาด (Sales and Marketing) ด้านการผลิต (Production) ด้านบัญชี (Accounting) และด้านทรัพยากรมนุษย์เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่มีระบบสารสนเทศสำหรับตนเอง

  11. ระบบสารสนเทศ 6 ชนิด  ระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูง (Executive Support System : ESS) ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System : MIS) ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System : DSS) ระบบผู้ชำนาญการ (Knowledge Work System : KWS) ระบบสำนักงาน (Office System) ระบบประมวลผลรายการธุรกรรมข้อมูล (Transaction Processing System : TPS) ซึ่งระบบแต่ละระบบเป็นระบบงานที่มีใช้อยู่ในองค์กรทั่วไปซึ่งถูกออกแบบมาสำหรับการทำงานเฉพาะงานด้านนั้น ๆ โดยตรงซึ่งไม่สามารถนำไปทดแทนกันได้ และในการใช้งานจริงอาจถูกปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม

  12. ระบบสารสนเทศ 6 ชนิด

  13. คุณลักษณะของระบบสารสนเทศแบบต่าง

  14. ระบบประมวลผลรายการธุรกรรมระบบประมวลผลรายการธุรกรรม Transaction Processing System (TPS) ระบบการประมวลผล มักเป็นการประมวลผลแบบวันต่อวัน เช่น การรับ-จ่ายบิล ระบบควบคุมสินค้าคงคลัง ระบบการรับ-จ่ายสินค้า เป็นต้น ใช้งานในระดับผู้ปฏิบัติการ ระบบนี้เป็นระบบสารสนเทศลำดับแรกที่ได้รับการพัฒนาให้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ผู้บริหารมีความต้องการระบบ TPS สำหรับตรวจสอบกระบวนการทำงานทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในองค์กร และความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอก

  15. ระบบประมวลผลรายการธุรกรรมระบบประมวลผลรายการธุรกรรม Transaction Processing System (TPS) ลักษณะเด่นของ TPS คือ การทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน สิ่งที่องค์กรจะได้รับเมื่อใช้ระบบนี้ คือ ลดจำนวนพนักงานองค์กรจะมีการบริการที่สะดวกรวดเร็วลูกค้ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น

  16. ระบบประมวลผลรายการธุรกรรมระบบประมวลผลรายการธุรกรรม Transaction Processing System (TPS)

  17. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ Management Information System (MIS) ระบบที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารที่ต้องการการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้ประโยชน์มากกว่าการช่วยงานแบบวันต่อวัน MIS จึงมีความสามารถในการคำนวณและเปรียบเทียบข้อมูล ซึ่งมีความหมายต่อการจัดการและบริหารงานเป็นอย่างมาก นอกจากนั้น ระบบนี้ยังสามารถสร้างสารสนเทศที่ถูกต้องและทันสมัยอีกด้วย โดยทั่วไป MIS มักรวมระบบ

  18. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ Management Information System (MIS) คุณสมบัติของระบบ MIS จะสนับสนุนการทำงานของระบบประมวลผลข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูลรายวันจะใช้ ฐานข้อมูลที่ถูกรวมเข้าด้วยกัน และสนับสนุนการทำงานของฝ่ายต่าง ๆ ในองค์กรจะช่วยให้ผู้บริหารระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง เรียกใช้ข้อมูลที่เป็นโครงสร้าง ได้ตามเวลาที่ต้องการจะมีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับความต้องการข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปของ องค์กรต้องมีระบบรักษาความลับของข้อมูล และจำกัดการใช้งานของบุคคลเฉพาะ ผู้ที่เกี่ยวข้อง

  19. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ Management Information System (MIS)

  20. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจระบบสนับสนุนการตัดสินใจ Decision Support System (DSS) ระบบที่ทำหน้าที่จัดเตรียมสารสนเทศเพื่อช่วยในการตัดสินใจ บางครั้งสารสนเทศ TPS และ MIS ไม่สามารถช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจได้จำเป็นต้องพัฒนาระบบช่วยตัดสินใจ DSS ขึ้น เพื่อช่วยในการตัดสินใจภายใต้ผลสรุปและการเปรียบเทียบข้อมูลจากแหล่งอื่น ทั้งภายในและนอกองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อช่วยในการตัดสินใจที่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้า เช่น การตัดสินใจเกี่ยวกับการรวมบริษัทและการหาบริษัทร่วม การขยายโรงงาน ผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นต้น

  21. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจระบบสนับสนุนการตัดสินใจ Decision Support System (DSS) คุณสมบัติของระบบ DSS จะต้องช่วยผู้บริหารในกระบวนการการตัดสินใจ จะต้องถูกออกแบบมาให้สามารถเรียกใช้ทั้งข้อมูลแบบกึ่งโครงสร้างและแบบไม่มี โครงสร้าง แน่นอนได้จะต้องสามารถสนับสนุนผู้ตัดสินใจได้ในทุกระดับ แต่จะเน้นที่ระดับวางแผน บริหารและวางแผนยุทธศาสตร์มีรูปแบบการใช้งานอเนกประสงค์ มีความสามารถในการจำลองสถานการณ์ และมี เครื่องมือในการวิเคราะห์สำหรับช่วยเหลือผู้ทำการตัดสินใจต้องเป็นระบบที่โต้ตอบกับผู้ใช้ได้ สามารถใช้งานได้ง่าย ผู้บริหารต้องสามารถ ใช้งานโดยพึ่งความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญน้อยที่สุดหรือไม่ต้องพึ่งเลย

  22. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจระบบสนับสนุนการตัดสินใจ Decision Support System (DSS) คุณสมบัติของระบบ DSS  ต้องสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการข่าวสารในสภาพการณ์ต่างๆ ต้องมีกลไกช่วยให้สามารถเรียกใช้ข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว ต้องสามารถติดต่อกับฐานข้อมูลขององค์กรได้ ต้องทำงานโดยไม่ขึ้นกับระบบการทำงานตามตารางเวลาขององค์กร ต้องมีความยืดหยุ่นพอที่จะรองรับรูปแบบการบริหารแบบต่างๆ

  23. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจระบบสนับสนุนการตัดสินใจ Decision Support System (DSS) ระบบ DSS ด้วย GIS ผ่าน Map Server ตัวอย่างภาพจากระบบสนับสนุนการตัดสินใจ แสดงพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ที่แปรจากภาพถ่ายจากดาวเทียม แสดงเส้นทางคมนาคม ทางน้ำ ฯลฯ

  24. ระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูงระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูง Executive Support System (ESS) เป็นระบบที่สร้างขึ้น เพื่อสนับสนุนสารสนเทศและการตัดสินใจสำหรับผู้บริหารระดับสูงโดยเฉพาะ ซึ่งช่วยในการวางแผนกลยุทธ์หรือแผนการดำเนินงานระยะยาวขององค์กร สามารถช่วยแก้ปัญหาแบบไม่มีโครงสร้าง Unstructured ซึ่งจะเน้นทางด้านข่าวสารสำหรับผู้บริหารระดับสูง และยังสามารถใช้ข้อมูลจากภายในและภายนอกได้ในการสร้างและประมวลผล เหมาะกับการวิเคราะห์และประยุกต์ใช้กับปัญหาที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

  25. ระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูงระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูง Executive Support System (ESS) • คุณสมบัติของระบบ DSS • สามารถเจาะข้อมูลลงลึกได้มากกว่า (Drill Down) • สามารถกรองข้อมูลที่ไม่มีจำเป็นออกได้ และ Interface ในรูป Graphic แทนข้อมูลจริง • มีความยืดหยุ่นสูง กระบวนการคิดกว้างขึ้น เพิ่มระบบวิเคราะห์และเปรียบเทียบ • ผู้บริหารใช้งานง่ายขึ้น Interface เป็นกันเอง ผู้บริหารสามารถทำงาน ปรับปรุง เพิ่มเติม ปรับแต่งเองได้ • สามารถตัดสินใจจากข้อมูลที่มีอยู่ได้ทันที และตรวจสอบการทำงานในระดับล่างได้ • ช่วยขยายขอบเขตการทำงานของผู้บริหารได้กว้างขวางมากขึ้น สามารถช่วยพัฒนาการบริหารในลักษณะ Centralization และนำพาองค์กรไปสู่องค์กรแห่งการรับรู้และตอบสนอง (Sense and Response Organization)

  26. ระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูงระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูง Executive Support System (ESS) ตัวอย่างของระบบ ESS ในทางธุรกิจ  การเจาะลึกข้อมูลของผู้บริหารเกี่ยวกับผลกำไรขาดทุน รายงานงบดุล และ ยอดขายทั้งแบบขายปลีก และขายส่ง แยกประเภทตามภูมิภาค ตามตัวแปรต้น อื่นๆ ได้ตามปรารถนา การตรวจรายงานการควบคุมด้านการเงินและยอดบัญชี ในแต่ละเดือน ผู้บริหารอาจต้องการทราบข้อมูลระดับลึกทางการตลาด เพื่อนำมาตัดสินใจเพิ่ม ส่วนแบ่งการตลาด สามารถใช้ ESS เพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น หรือ อาจต้องการข้อมูลที่สำคัญเพื่อวัดความพึงพอใจของลูกค้าและ Suppliers สามารถพัฒนา ESS ให้อยู่บน Web based แล้วรวมข้อมูลเป็นคลังให้ผู้บริหาร สามารถวิเคราะห์ได้

  27. ระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูงระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูง Executive Support System (ESS)

  28. ความสัมพันธ์ระหว่างระบบแบบต่าง ๆ Executive support systems (ESS) Management information systems(MIS) Decision support systems(DSS) Knowledge work systems(KWS) Transactionprocessing system(TPS)  ระบบ TPS มักจะเป็นระบบหลักที่เป็นตัวรวบรวมข้อมูลเข้ามาเพื่อแจกจ่ายให้แก่ ระบบอื่น ๆ ระบบ ESS จะเป็นผู้รับข้อมูลจากระบบอื่นไปใช้ส่วนระบบที่เหลือก็จะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน และระบบที่ทำหน้าที่ ต่างกันสำหรับผู้ใช้ในระดับเดียวกันก็อาจมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้

  29. รูปแบบลักษณะงานองค์กรรูปแบบลักษณะงานองค์กร Manufacturing Accounting Enterprise System Business Process Business Process Business Process Enterprise-wide business Process Human Resources Finance Marketing and Sale

  30. การพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงานการพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงาน ระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายการตลาด และฝ่ายขาย • ฝ่ายการตลาด : ค้นหาความต้องการของลูกค้า, วางแผนการผลิตบริการหรือสินค้า เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า, จัดการโฆษณา และจัดการกระตุ้นการขาย (Promotion) และกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายสำหรับบริการหรือสินค้าที่องค์กร ผลิต • ฝ่ายขาย : รับผิดชอบในการติดต่อกับลูกค้า, ขายบริการหรือสินค้า, รับการสั่งซื้อ และติดตามการขายจนเสร็จสิ้นกระบวนการ

  31. การพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงานการพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงาน ระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายการตลาด และฝ่ายขาย ตัวอย่างระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายการตลาด และฝ่ายขาย

  32. การพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงานการพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงาน ระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายการผลิต • วางแผน, พัฒนา, บำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก, กำหนดเป้าหมายการผลิต, สอบถาม, เก็บรักษา, ความพร้อมใช้งานของวัสดุสำหรับการผลิต. กำหนดตาราง ทำงานให้กับอุปกรณ์, สิ่งอำนวยความสะดวก, จัดหาวัสดุ และแรงงานเพื่อนำมา สร้างเป็นสินค้าที่ต้องการ

  33. การพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงานการพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงาน ระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายการผลิต ตัวอย่างระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายผลิต

  34. การพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงานการพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงาน ระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายการเงิน และการบัญชี • ฝ่ายการเงิน : รับผิดชอบการบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ขององค์กร เช่น เงินสด หุ้น พันธบัตร และการลงทุนอื่น ๆ ซึ่งจะได้รับข้อมูล จำนวนมากจากแหล่งข้อมูลภายนอกองค์กรเพื่อทำให้เกิดความมั่นใจได้ว่าองค์กร จะได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการลงทุน • ฝ่ายการบัญชี : รับผิดชอบในการรักษา และจัดการรายการหลักฐานเกี่ยวกับ การเงินขององค์กร เช่น ใบเสร็จรับเงิน รายการชำระเงิน การเสื่อมราคา และ รายการชำระค่าตอบแทน นอกจากนี้ต้องสรุปสถานะทางทรัพย์สินขององค์กรใน ปัจจุบัน และสรุปรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเดือนที่ผ่านมา

  35. การพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงานการพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงาน ระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายการเงิน และการบัญชี ตัวอย่างระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายการเงิน และการบัญชี

  36. การพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงานการพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงาน ระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ • พัฒนา, การสงวนรักษาบุคลากรขององค์กร, สนับสนุนการเลือกสรรบุคลากร, จัดการรักษาระเบียนข้อมูลบุคลากรให้มีความสมบูรณ์, สร้างสรรค์กิจกรรมที่ กระตุ้นให้บุคลากรเกิดความคิดสร้างสรรค์, ทักษะในการปฏิบัติงาน, การจ่ายค่า ทดแทนให้แก่บุคลากรที่ถูกเลิกจ้าง และการจัดวางบุคลากรเข้าสู่ตำแหน่งที่ เหมาะสม

  37. การพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงานการพิจารณาระบบสารสนเทศตามลักษณะที่สนับสนุนการทำงาน ระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ ตัวอย่างระบบสารสนเทศสำหรับฝ่ายทรัพยากรมนุษย์

  38. การบูรณาการระบบงาน และกระบวนการทางธุรกิจ : ระบบสารสนเทศองค์กร และระบบเครือข่ายอุตสาหกรรม ระบบสารสนเทศ และกระบวนการทางธุรกิจ ระบบสารสนเทศสนับสนุนการทำงานขององค์กร ซึ่งหมายถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงาน เช่น การจัดโครงสร้างงาน อธิบายถึงการไหลเวียนของวัสดุ ข่าวสาร ความรู้ และวิธีการที่ผู้บริหารใช้ในการประสานการทำงาน

  39. การบูรณาการระบบงาน และกระบวนการทางธุรกิจ : ระบบสารสนเทศองค์กร และระบบเครือข่ายอุตสาหกรรม ระบบสารสนเทศ และกระบวนการทางธุรกิจ ตัวอย่างกระบวนการทางธุรกิจ

  40. การบูรณาการระบบงาน และกระบวนการทางธุรกิจ : ระบบสารสนเทศองค์กร และระบบเครือข่ายอุตสาหกรรม การกระตุ้นให้พนักงานเข้าเป็นสมาชิกแผนการรับผลประโยชน์ตอบแทน นั่นคือ ต้องรวบรวมคนจากหลายฝ่ายเข้ามาทำงานเดียวกัน เนื่องจากว่ากิจกรรมหลายชนิดที่ทำงานก้ำกึ่งระหว่างหน้าที่การทำงานด้านต่าง ๆ จึงต้องนำระบบสารสนเทศเข้ามาสนับสนุนการทำงานในแต่ละด้าน รวมถึงประสานการทำงานของด้านต่าง ๆ เข้าด้วยกัน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรด้วยการทำให้กระบวนการทำงานบางส่วนเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ หรือช่วยให้องค์กรทบทวนและสร้างกระบวนการทำงานใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

  41. การบูรณาการระบบงาน และกระบวนการทางธุรกิจ : ระบบสารสนเทศองค์กร และระบบเครือข่ายอุตสาหกรรม การกระตุ้นให้พนักงานเข้าเป็นสมาชิกแผนการรับผลประโยชน์ตอบแทน

  42. การบูรณาการระบบงาน และกระบวนการทางธุรกิจ : ระบบสารสนเทศองค์กร และระบบเครือข่ายอุตสาหกรรม การกระตุ้นให้พนักงานเข้าเป็นสมาชิกแผนการรับผลประโยชน์ตอบแทน จากรูป แสดงคลังข้อมูลและเซตย่อยของตลาดข้อมูล (Data Mart Subset) ที่เก็บข้อมูลที่ถอดมาจากฐานข้อมูลปฏิบัติการต่างๆ เพื่อการวิเคราะห์ทางธุรกิจ การวิจัยตลาด การสนับสนุนการตัดสินใจ และโปรแกรมประยุกต์เหมืองข้อมูล (Data Mining) ข้อมูลจากโปรแกรมประยุกต์ ได้แก่ การควบคุมการผลิต การวางแผนความต้องการวัตถุดิบ (MRP ) การควบคุมสินค้าคงคลัง การจัดการเรื่องอะไหล่ การกระจายสินค้า การส่งสินค้า วัตถุดิบ การควบคุมคำสั่งซื้อ และการสั่งซื้อสินค้า ข้อมูลด้านตลาดข้อมูล ได้แก่ การเงิน การตลาด การขาย บัญชี การจัดทำรายงาน วิศวกรรม ประกันภัย และทรัพยากร

  43. การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า Customer Relationship Management : CRM องค์การที่ต้องการสร้างความได้เปรียบเชิงแข่งขันที่ยั่งยืนต้องหันมาเอาใจใส่อย่างจริงจังกับความสัมพันธ์กับลูกค้า โจทย์ของระบบ CRM ที่องค์การต้องหาคําตอบคือ ปัจจัยอะไรที่มีผลกระทบต่อผลสําเร็จของระบบ CRM รวมถึงการยอมรับและสนับสนุนระบบ CRM จากผู้บริหารระดับสูงในฐานะที่เป็นยุทธศาสตร์ขององค์การ เทคโนโลยี IT ทําให้การรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ความสัมพันธ์กับลูกค้ามีประสิทธิภาพ แต่การลงทุนในเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่จะถูกพิจารณาต่อจากการสร้างความยอมรับและให้การสนับสนุนจากผู้ปฏิบัติงานภายในองค์การ ทั้งนี้เนื่องจากระบบ CRM นํามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงกระบวนการปฏิบัติงาน ระบบ CRM ที่มีประสิทธิผลจึงควรเป็นระบบที่ “ยกระดับคุณค่าที่ลูกค้านํามาสู่องค์การและคุณค่าที่องค์การนําไปสู่ลูกค้า”

  44. การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า Customer Relationship Management : CRM การเพิ่มบทบาทของ CPM ในองค์กร

  45. ข้อดีของระบบ CRM การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า Customer Relationship Management : CRM • ขยายระบบสู่ E-CPM • เป็นเครื่องมือช่วยเชื่อมต่อเข้ากับระบบงานอื่น ๆ • สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน • มีการเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้าในระบบอิเล็กทรอนิกส์ • สามารถนำศูนย์บริการทางโทรศัพท์(Call Center)เข้ามาสนับสนุนการทำงาน

  46. การบริหารห่วงโซ่อุปทานการบริหารห่วงโซ่อุปทาน Supply chain management: SCM การบริหารวัตถุดิบ ข้อมูล และการเงิน นับตั้งแต่กระบวนการจากผู้ส่งมอบวัตถุดิบ ถึงผู้ผลิต ถึงผู้กระจายสินค้า ถึงตัวแทนจำหน่าย และถึงผู้บริโภคในขั้นตอนสุดท้าย การบริหารห่วงโซ่อุปทานจึงเป็นการประสานกลยุทธ์การทำงานของหน่วยธุรกิจทั้งภายในและภายนอกองค์กร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดจำนวนสินค้าคงคลัง และเพื่อสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้สูงสุด

  47. กระบวนการห่วงโซ่อุปทานแบบอิเล็กทรอนิกส์กระบวนการห่วงโซ่อุปทานแบบอิเล็กทรอนิกส์ Supply chain management: SCM จดหมายแจ้งการ จัดส่งสินค้า จดหมายแจ้งการจัดส่งสินค้า Internet ลูกค้า ข้อมูลสั่งซื้อสินค้า ข้อมูลสั่งซื้อสินค้า ข้อมูลสั่งซื้อสินค้า จดหมายแจ้งการ จัดส่งสินค้า สินค้า สินค้า

  48. จุดเด่น กระบวนการห่วงโซ่อุปทานแบบอิเล็กทรอนิกส์ Supply chain management: SCM • เข้าถึงผู้บริโภคสินค้าโดยตรง • เปลี่ยนจากห่วงโซ่อุปทานแบบอนุกรมเป็นห่วงโซ่อุปทานแบบไดนามิก(Dynamic Network Supply Chain) • เปลี่ยนจากการมุ่งประสิทธิภาพไปสู่การสร้างความต้องการ • ช่วยในการตัดสินใจชนิด ปริมาณ และระยะเวลา ในการผลิต การเก็บรักษา และการเคลื่อนย้ายสินค้า • สามารถจัดการรายการสั่งซื้อสินค้าได้อย่างรวดเร็ว • สามารถติดตามสถานะของรายการสั่งซื้อสินค้าได้

  49. จุดเด่น กระบวนการห่วงโซ่อุปทานแบบอิเล็กทรอนิกส์ Supply chain management: SCM • สามารถตรวจสอบความพร้อมของคลังเก็บสินค้า และตรวจสอบระดับปริมาณสินค้าในคลัง • สามารถติดตามการนำส่งสินค้า • วางแผนการผลิตจากปริมาณความต้องการสินค้าที่แท้จริงได้ • ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงรูปแบบสินค้าได้อย่างรวดเร็ว • นำเสนอรายการข้อกำหนดของสินค้าได้ • ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน และสินค้าที่ถูกส่งคืนได้

  50. ปัญหาของระบบงานองค์กรแบบเดิมปัญหาของระบบงานองค์กรแบบเดิม องค์กรขนาดใหญ่มักจะมีระบบสารสนเทศอยู่หลายชนิดที่สนับสนุนการทำงานของหลายฝ่ายในหลายระดับ และหลายกระบวนการทางธุรกิจ ระบบงานส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นมาใช้งานเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะด้าน ทำให้ไม่สามารถสื่อสารระหว่างกันได้ ผู้บริหารก็จะมีความยากลำบากในการรวบรวมข้อมูลที่ต้องการสำหรับนำมาใช้เป็นข้อมูลสรุปสำหรับการพิจารณาภาพการปฏิบัติงานโดยรวมขององค์กร เช่น พนักงานฝ่ายขายไม่ทราบว่าสินค้านั้นมีอยู่มากน้อยเท่าใดในคลังสินค้า หรือลูกค้าไม่สามารถติดตามรายการสินค้าที่สั่งได้ เป็นต้น

More Related